วันนี้ (3 ธันวาคม 2557) ที่ โรงแรมโฟร์ซีซัน กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์นายแพทย์ รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมคณะกรรมการบริหารองค์กรระหว่างประเทศอาร์บีเอ็ม เพื่อแก้ไขปัญหาโรคมาลาเรียทั่วโลก (Roll Back Malaria Partnership: RBM) ครั้งที่ 27 ซึ่งในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขไทยร่วมกับองค์กรมาลาเรียนานาชาติ เป็นเจ้าภาพ โดยมีดร.ฟาตูมาทา นาโฟ-ทราโอเร ผู้อำนวยการใหญ่อาร์บีเอ็ม เป็นประธานการประชุม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากประเทศในทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ อเมริกาใต้ และตัวแทนจากเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงและนักวิชาการจากกระทรวงสาธารณสุขไทย เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ประมาณ 120 คน เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายทิศทางแก้ไขปัญหาโรคมาลาเรียทั่วโลก ให้เป็นทิศทางเดียวกันสอดคล้องกับบริบทแต่ละประเทศ โดยตั้งเป้ากวาดล้างโรคนี้ให้หมดไปจากโลกภายในพ.ศ.2583
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ กล่าวว่า โรคมาลาเรียเป็นปัญหาสาธารณสุขประจำภูมิภาคเขตร้อน มากกว่า 100 ปี รายงานขององค์การอนามัยโลกล่าสุดในปี 2555 พบผู้ป่วยมาลาเรียทั่วโลก 207 ล้านราย เสียชีวิต 627,000 ราย อันดับ 1 คือ ทวีปแอฟริกา มีผู้ป่วยร้อยละ 80 รองลงมา คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สายพันธุ์ที่พบมากที่สุด คือ สายพันธุ์พลาสโมเดียมไวแว็กซ์ (Plasmodium Vivax) ร้อยละ 80 รองลงมา คือ สายพันธุ์พาสโมเดียมฟาลซิฟารั่ม (Plasmodium Falciparum) มียุงก้นปล่องเป็นตัวแพร่เชื้อ จากการประเมินสภาพปัญหาพบว่าจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มลดลงทุกประเทศ แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือพบปัญหาเชื้อดื้อยาที่ใช้รักษาได้ผลดีมากคือยากลุ่มอาร์ติมิซินินและอนุพันธ์อาร์ติมิซินิน พบได้เฉลี่ยร้อยละ 10 ในบางประเทศ พบมากที่สุดที่ประเทศกัมพูชา ผู้ป่วยที่ติดเชื้อชนิดนี้แล้ว จะไม่สามารถรักษาให้หายด้วยยาสูตรปกติได้ โอกาสเสียชีวิตจะสูงขึ้น และอาจแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆจะทำให้ปัญหาหวนกลับมาแพร่ระบาดได้อีก ซึ่งขณะนี้ไทยพบปัญหานี้เช่นกัน แต่ไม่เกินร้อยละ 10 สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการกินยาไม่ครบสูตร
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ กล่าวต่อว่า ในการแก้ไขปัญหาเชื้อมาลาเรียดื้อยา ไม่สามารถจัดการได้เองโดยลำพังในประเทศ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมปัจจัยการแพร่ระบาดได้คือการเคลื่อนย้ายประชากร และยุงก้นปล้องที่อยู่ในป่าเขา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างกลไกการดำเนินงานร่วมกับประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหานี้อย่างจริงจังและเป็นในแนวเดียวกัน
สำหรับประเทศไทยนั้น มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดูแลรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างประเทศ และได้รับการสนับสนุนงบในการป้องกันควบคุมโรค จากแหล่งทุนอื่นๆ อาทิ กองทุนโลก (Global Fund) องค์กรยูเสด (USAID) ซึ่งประเทศไทยมีระบบการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาตามแนวชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง และได้พัฒนาแนวทางรักษาในรายที่ดื้อยาอาร์ติมิซินิน โดยขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการทดลองใช้ยาสูตรแก้ปัญหาดื้อยาที่องค์การอนามัยโลกแนะนำและใช้มาหลายพื้นที่แล้ว ซึ่งเป็นสูตรผสม 3 ชนิด ได้แก่ อาร์ติซูเนต เมฟโฟควิน และไพรมาควิน พบว่าได้ผลดี นอกจากนี้ยังได้มีการใช้ยาสูตรอื่นๆ ซึ่งจะทำการประเมินผลในปลายปีหน้า และจะนำผลการศึกษาเข้าที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านมาลาเรีย เพื่อพิจารณาบรรจุเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติใช้รักษาผู้ป่วย ยาชนิดนี้จะใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่มีจำหน่ายในคลินิกหรือร้านขายยาทั่วไป เพื่อควบคุมการใช้โดยแพทย์ ป้องกันการดื้อยา นอกจากนี้ประเทศยังมีโครงการอบรมแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา พม่า เวียดนาม ใน 2 หลักสูตร ได้แก่ การจัดการโรคมาลาเรียภาคสนาม (Management of Malaria Field Operations 2010 (MMFO)) และหลักสูตรการรักษาผู้ป่วยโรคมาลาเรียที่มีอาการรุนแรง (Severe Case Management) ดำเนินการโดยคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีชื่อเสียงมาก และไทยมีความพร้อมร่วมมือกับประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างเป้าหมายในการป้องกันและกำจัดโรคมาลาเรียให้หมดไป
ทั้งนี้สถานการณ์มาลาเรียในประเทศไทย ปี 2557 สำนักระบาดวิทยารายงานตั้งแต่ 1 มกราคม – 14 พฤศจิกายน 2557 พบว่ามีผู้ป่วยมาลาเรียสะสมรวม 26,940 ราย เป็นชาวไทย 20,612 ราย และต่างชาติ 6,328 ราย พบในพื้นที่ชายแดน โดยลดลงกว่าปี 2556 ประมาณร้อยละ 17 ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงาน อายุ 15-24 ปี ร้อยละ 23 ซึ่งติดเชื้อจากการเข้าไปหาของป่า และเป็นเกษตรกร จังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด 10 อันดับแรก คือ อุบลราชธานี ยะลา ตาก สงขลา สุราษฎร์ธานี นราธิวาส ศรีสะเกษ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และเพชรบุรี มีผู้ป่วยรวมกัน 17,843 ราย คิดเป็นร้อยละ 66 ของผู้ป่วยทั้งประเทศ
3 ธันวาคม 2557
ที่มา: http://www.thaigov.go.th