วันนี้ (12 มกราคม 2558) ที่โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพมหานคร นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 12 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีระหว่างนักวิชาการด้านการแพทย์ สาธารณสุข และผู้เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทย ของบุคลากรเครือข่ายทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน กว่า 300 คน
นายแพทย์สมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก มักจะพบปัญหาเด็กเสียชีวิตในเวลาอันไม่สมควร ที่เรียกว่าอัตราทารกตาย คือคลอดแล้วเสียชีวิตภายหลัง ขณะนี้ทั่วโลกพบเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เสียชีวิตปีละ ลดจาก 13 ล้านคนในปี 2533 เหลือจำนวน 6.3 ล้านคนในปี 2556 ซึ่งประเทศไทยได้ผ่านเรื่องนี้มากว่า 40 ปี สามารถแก้ปัญหาเรื่องเด็กเสียชีวิตในวัยทารกได้มาก เทียบได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ปัญหาที่ไทยประสบขณะนี้และเป็นปัญหาใหญ่ คือพัฒนาการเด็ก ผลการสำรวจพบว่าเด็กไทยโดยเฉลี่ยมีพัฒนาการยังไม่สมวัยประมาณ ร้อยละ30 ในภาพรวมถือว่าดีขึ้น แต่เป็นการดีขึ้นที่ช้ามาก โดยพัฒนาการเด็กเกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง อาทิ ไอคิว อีคิว อารมณ์ จิตสำนึก จริยธรรม คุณธรรม เป็นพื้นฐานที่ผสมผสานหลายอย่าง พัฒนาการเด็กจึงเป็นจุดหมายที่สำคัญ อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของวัยรุ่น ต้องช่วยกันในเรื่องของการเลี้ยงดู การเรียนรู้ ซึ่งเชื่อมโยงกับเด็กปฐมวัยด้วย ซึ่งจะต้องมุ่งพัฒนาคุณภาพศูนย์เด็กเล็กที่มีอยู่ โดยหลายประเทศมีผลวิจัยพบว่าถ้าดูแลเด็กอายุ 3-5 ปีได้ดี ก็จะสามารถทำให้เด็กเจริญเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ การวิจัยนี้พบว่าเด็กที่ไปอยู่ในศูนย์เด็กเล็กที่มีคุณภาพ ก็จะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีได้
นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในการดูแลเด็กจะมี 3 ช่วงวัย ช่วงวัยแรกอายุ 1-3 ปี เน้นเรื่องกากระตุ้นเสริมสร้างพัฒนาการ โดยอาศัยโครงสร้างด้านระบบบริการสาธารณสุขและชุมชนท้องถิ่นมาช่วยกัน รวมทั้งครอบครัวด้วย ช่วงวัยที่ 2 อายุ3-5 ปี เน้นการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งท้องถิ่นจะเป็นหลัก พ่อแม่ครอบครัวก็จะมาร่วมด้วย และช่วงวัยที่ 3 คือช่วงวัยรุ่น เป็นความร่วมมือช่วยกันหลายฝ่ายทั้งด้านสังคม มหาดไทย เนื่องจากวัยนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ปัญหาต่างๆจะเข้ามามาก ทั้งความรุนแรง ยาเสพติด เพศสัมพันธ์ อุบัติเหตุจราจรด้วย
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเชื่อมโยงการทำงานของทีมหมอครอบครัว เป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข โดยทำงานระหว่างทีมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือรพ.สต. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เฉลี่ย แห่งละ 3-4 คน โดยเฉลี่ยเจ้าหน้าที่ 1 คนดูแลประชากร 1,500 คน ครอบคลุมทุกหลังคาเรือน และมีทีมโรงพยาบาลชุมชนเข้าไปช่วยเสริม โดยจะสามารถทำให้เกิดการทำงานเชิงรุก ถ้าพบปัญหาก็จะสามารถส่งตัวไปดูแลต่อ ได้อย่างต่อเนื่องในโรงพยาบาลเครือข่ายของหมอครอบครัว ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในโรงพยาบาลศูนย์และในโรงพยาบาลทั่วไป เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา มารับรู้ปัญหาที่พบในชุมชน สามารถพูดคุยดูแลวางแผนร่วมกัน การดูแลเชิงรุกมีมากขึ้น หากครอบครัวใดมีปัญหา เขาก็จะไม่ลังเลที่จะบอกเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ที่เป็นหมอครอบครัวเข้าไปดูแล ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นอย่างมีระบบ ประสิทธิภาพและครบวงจรมากขึ้น โดยทีมหมอครอบครัวจัดขึ้นเพื่อดูแลประชาชนทุกกลุ่มวัย ขณะนี้เริ่มจากการดูแลผู้สูงอายุก่อน โดยในปี 58 นี้ก็จะเริ่มลงไปที่เด็กด้วย
12 มกราคม 2558
ที่มา: http://www.thaigov.go.th