ประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘

ข่าวทั่วไป Thursday January 29, 2015 17:26 —สำนักโฆษก

ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ โดยมี พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อวันพุธที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น ๒ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

โดยที่ประชุมฯ ได้รับรองรายงานการประชุมฯ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๘ และเสนอเรื่องเพื่อทราบ เรื่อง คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการการ ๖ คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการปฏิรูประบบทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษา คณะอนุกรรมการปฏิรูประบบข้อมูลและสารสนเทศทางการศึกษา คณะอนุกรรมการการปฏิรูประบบการกระจายอำนาจ คณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายการศึกษา คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ และคณะอนุกรรมการปฏิรูประบบการผลิตและพัฒนาครู

และประเด็นที่ควรแก้ไขเร่งด่วนใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้

๑. การแบ่งประเภทและระดับการศึกษา (มาตรา ๑๖-๒๐) ประเด็นปรับปรุงแก้ไข คือ

  • กำหนดให้การศึกษาระดับปฐมวัยอยู่ในการศึกษาขั้นพื้นฐาน เนื่องจากเป็นช่วงการศึกษาที่สำคัญ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
  • กำหนดช่วงชั้นเรียนให้ชัดเจนว่า การศึกษาภาคบังคับเริ่มจากชั้นใด และช่วงชั้นใด
  • กำหนดระดับชั้นของอาชีวศึกษาให้ชัดเจน

๒. การประกันคุณภาพ (มาตรา ๔ มาตรา ๔๙) ประเด็นปรับปรุงแก้ไข คือ ควรกำหนดแนวทาง/มาตรการปรับปรุงการดำเนินงานของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ดังนี้

  • การประเมินคุณภาพต้องนำไปสู่การเสนอแผนหรือแนวทางในการปรับปรุงสถานศึกษา และกำหนดระยะเวลาในการปรับปรุงให้ชัดเจน ตลอดจนกำหนดมาตรการลงโทษในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ/กฎหมายที่กำหนดไว้
  • คำนิยาม “การประกันคุณภาพภายใน” ที่กำหนดให้ครอบคลุมหน่วยงานต้นสังกัด ทำให้การตรวจประเมินของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสพฐ.เป็นการประกันคุณภาพภายในที่ซ้ำซ้อน ส่งผลกระทบให้ภาระงานของทุกหน่วยงานเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น จึงควรกำหนดนิยามไม่ให้ซ้ำซ้อนกับการประเมินคุณภาพภายนอก
  • การนิยามคุณภาพสถานศึกษาควรให้ความสำคัญและครอบคลุมถึง “ความรับผิดชอบ” ของผู้บริหารสถานศึกษา
  • ควรปรับเปลี่ยนแนวทางการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาเป็นการประเมินเชิงประเด็นตามนโยบายที่กำหนด รวมทั้งประเมินเฉพาะสถานศึกษาที่ตรวจพบว่ามีปัญหา และประเมินสถานศึกษาที่พร้อมรับการตรวจประเมินเพื่อการรับรองคุณภาพ ด้วยวิธีการประเมินที่หลากหลายตามจุดมุ่งหมายของสถานศึกษา และจากผู้ประเมินที่มีประสบการณ์

๓. การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ (มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ มาตร ๓๗ มาตรา ๓๘) : ประเด็นปรับปรุงแก้ไข คือ

  • ควรมีหน่วยงานระดับชาติ (สภาการศึกษาระดับชาติ) บริหารในรูปของคณะกรรมการ เพพื่อกำหนดนโยบายการศึกษาของประเทศ รวมทั้งกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐาน และประสิทธิภาพ มีลักษณะเป็น “super board”
  • เสนอให้แก้ไข มาตรา ๓๗ และมาตรา ๓๘ โดยหลักการให้เขตพื้นที่การศึกษาเป็นโครงสร้างระดับจังหวัด บริหารโดยสภาการศึกษาระดับจังหวัด ภายใต้นโยบายของสภาการศึกษาแห่งชาติ
  • ให้หน่วยงานส่วนกลางมีขนาดเล็กลง ทำหน้าที่เฉพาะกำกับ ติดตามการศึกษา และให้มีหน่วยงานวิชาการรับผิดชอบการพัฒนาหลักสูตร หน่วยงานนโยบายและแผนการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา หน่วยงานที่ดูแลระบบศึกษานิเทศก์ และหน่วยงานการจัดการฐานข้อมูลการศึกษา
  • ให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาธิการ

๔. ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา (มาตรา ๖๐ มาตรา ๖๓-๖๕ มาตรา ๖๗-๖๙) ประเด็นปรับปรุงแก้ไข คือ

  • ควรจัดสรรงบประมาณตามมาตรา ๖๐ (๔) ลงสู่ระดับจังหวัด ภายใต้ความรับผิดชอบของสภาการศึกษาจังหวัด โดยให้สถานศึกษาแต่ละแห่งจัดทำงบประมาณเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ (สภาการศึกษาจังหวัด)
  • จัดสรรคลื่นความถี่เพื่อการศึกษาตามมาตรา ๖๓ ควรแก้ไขเป็น จัดสรรระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา เนื่องจากการจัดสรรคลื่นความถี่ต้องผ่านการประมูล

๕. ประเด็นอื่นๆ อาทิ ครูและการประกอบวิชาชีพครู การผลิตและพัฒนาครู ผู้บริหารการศึกษา การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู ซึ่งต้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

แนวทางการปฏิรูปเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน เสนอโดย คณะอนุกรรมาธิการการศึกษาขั้นพื้นฐานในคณะกรรมาธิการการศึกษาและกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้พิจารณากรอบแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานในระยะเร่งด่วน โดยยึดหลักการที่สำคัญ ประกอบด้วย

๑. การศึกษาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของชาติ เพื่อสร้างกำลังคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี

๒. ความเสมอภาคของการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ และทุกคนมีโอกาสพัฒนาเต็มตามศักยภาพ

๓. ส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาที่มีความหลากหลาย สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและภูมิสังคมของแต่ละพื้นที่และได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่สำคัญ ดังนี้

๑. ปัญหาผู้เรียนอ่านและเขียนไม่คล่อง

๒. การให้ความช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กและชายขอบ

๓. การบริหารจัดการงบประมาณและทรัพยากรการศึกษาตามความจำเป็น

๔. ระบบการผลิตและพัฒนาครูและผู้บริหารสถานศึกษา

๕. การกำหนดผู้รับผิดชอบระดับชาติและท้องถิ่นเพื่อให้การปฏิรูปการศึกษามีความเชื่อมโยงและต่อเนื่อง

๖. การส่งเสริมให้มีการสอนทักษะการทำงานและให้ศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษาเพิ่มขึ้น

๗. การปฏิรูปหลักสูตรและการเรียนการสอน

๘. การจัดการฐานข้อมูลด้านการศึกษาอย่างเป็นระบบ

ยุทธศาสตร์และกลไกการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ เสนอโดยคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปกลไก กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับการศึกษาและพัฒนามนุษย์ สภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยมียุทธศาสตร์การปฏิรูป ดังนี้

๑. การกระจายอำนาจ

๒. ปฏิรูประบบการเงินงบประมาณด้านการศึกษาใหม่

๓. ปฏิรูประบบกำลังคนทางการศึกษาใหม่

๔. ปฏิรูปความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์

๕. เสริมสร้างการเรียนรู้ใหม่ของคนไทยและสังคมไทย

อีกทั้งมีกลไกการปฏิรูปการศึกษาในระยะยาว ดังนี้

๑. การตราพระราชบัญญัติใหม่ ๒ ฉบับ คือ

  • พระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิรูปการศึกษาพ.ศ..... เพื่อวางกลไกเพื่อกำกับดูแลการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ ในระยะยาวอย่างน้อย ๑๐ ปี
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของผู้รับการศึกษา พ.ศ.... เพื่อสร้างระบบการรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของผู้จัดการศึกษาในทุกระดับและประเภท
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยสถาบันวิจัยระบบการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พ.ศ.....

๒. การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และ กฎหมายที่เกี่ยวเนื่องและมาตรการเร่งด่วนเพื่อการฟื้นฟูคุณภาพการศึกษา มีดังนี้

๑. การคืนเวลาเรียนอย่างมีคุณภาพ

๒. การปรับใช้หลักสูตรแกนกลาง

๓. การยกเลิกหลักเกณฑ์วิทยฐานะครูและผู้บริหารสถานศึกษา

๔. การปรับสัดส่วนสมดุลงบประมาณระหว่างหน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาใหม่

๕. การแก้ไขปัญหาการบรรจุแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการครู

๖. การยุบเลิกหน่วยงานภายในที่ไม่ได้จัดตั้งตามกฎหมายเพื่อลดงบประมาณ

๗. การลดกระบวนการทดสอบจากส่วนกลางลง

๘. การเลื่อนการประเมินรอบ ๔ ของ สมศ. และให้ปรับปรุงเกณฑ์การประเมินใหม่ทุกระดับ

๙. การลดขนาดสถานศึกษาและขนาดห้องเรียนในสถานศึกษาขนาดใหญ่

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอเรื่องเพื่อพิจารณา เรื่องประเด็นหารือการปฏิรูปการศึกษาระหว่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา ศธ. ประกอบด้วย

๑. คณะกรรรมการระดับชาติ : โครงสร้างองค์กรที่จำเป็นในการปฏิรูปการศึกษา

๒. ประเด็นการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบการจัดการศึกษา ระบบงบประมาณ การบริหาร งานบุคคล และการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กและมาตรการเร่งด่วนเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา มีดังนี้

๑. การกำหนดขนาดห้องเรียน (class size) เพื่อลดขนาดห้องเรียนของสถานศึกษาขนาดใหญ่-ใหญ่พิเศษ ให้มีขนาดไม่เกิน ๓๐ คนต่อห้อง โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน ๖ ปี นับตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๘

๒. ยกเลิกกระบวนการสอบ NT และการสอบ LAS ระดับประถมศึกษาของ สพฐ. ให้เหลือเฉพาะการสอบ O-NET เท่านั้น

๓. ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะของครูและผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา ที่เน้นรางวัลและผลงานจากการประกวดแข่งขัน (ว๑๓/๒๕๕๖) รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการที่เน้นการส่งรายงานทางวิชาการ (ว๑๗/๒๕๕๖) ที่ไม่เหมาะสม และให้พัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าสู่วิทยาฐานะของครูและผู้บริหารสถานศึกษาแบบใหม่ที่มุ่งผลลัพธ์ที่ตัวผู้เรียน

ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติให้ สพฐ.ตรวจสอบดูรายละเอียดตามความเหมาะสมในส่วนของการกำหนดขนาดห้องเรียน และการยกเลิกกระบวนการสอบ NT และ LAS ในส่วนการยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะของครูและผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษานั้น กำลังอยู่ในระยะการดำเนินการ ของ ก.ค.ศ.

ปกรณ์/สรุป

กิตติกร/ภาพ

กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ