--ทำเนียบรัฐบาล--3 มี.ค.--บิสนิวส์
วันนี้ เมื่อเวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม องค์การสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมสัปดาห์สตรีสากล ประจำปี 2540 สรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรีได้ตระหนักในความสำคัญของสตรีมาโดยตลอด และเห็นว่าสตรีจะต้องร่วมรับผิดชอบในการดำเนินงานเพื่อชาติบ้านเมืองโดยเท่าเทียมกับบุรุษและต้องรับภาระในการดูแลครอบครัว โดยเฉพาะการเลี้ยงดูและอบรมบุตรธิดา ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดนโยบายที่มุ่งเสริมบทบาทของสตรีในด้านการพัฒนามากขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยที่หัวข้อหลักของการประชุมครั้งนี้ คือ แนวนโยบายในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาการเมือง ดังนั้น การให้ความรู้ด้านการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตยควรเน้นที่กลุ่มสตรี ในฐานะเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ พร้อมทั้งแสดงความปรารถนาที่จะเห็นสตรีก้าวเข้าไปมีบทบาทในองค์การบริหารส่วนตำบลมากขึ้น เพราะการเมืองระดับท้องถิ่นนั้น เปรียบได้กับรากแก้วของการพัฒนาประชาธิปไตย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลจะส่งเสริมบทบาทของสตรีในระบบราชการ โดยให้สามารถดำรงตำแหน่งในระดับบริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าในปัจจุบัน และมุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ทั้งในด้านการศึกษาและในการรับราชการ ทั้งนี้ รัฐบาลจะยกเลิกข้อสงวนในอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบที่ไทยได้มีพันธกรณีกับองค์การสหประชาชาติ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ผู้บริหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องให้โอกาสแก่สตรีได้ทำงานตามความสามารถ เพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าตามที่ทุกคนมุ่งหวัง
วันนี้ เมื่อเวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม องค์การสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมสัปดาห์สตรีสากล ประจำปี 2540 สรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรีได้ตระหนักในความสำคัญของสตรีมาโดยตลอด และเห็นว่าสตรีจะต้องร่วมรับผิดชอบในการดำเนินงานเพื่อชาติบ้านเมืองโดยเท่าเทียมกับบุรุษและต้องรับภาระในการดูแลครอบครัว โดยเฉพาะการเลี้ยงดูและอบรมบุตรธิดา ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดนโยบายที่มุ่งเสริมบทบาทของสตรีในด้านการพัฒนามากขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยที่หัวข้อหลักของการประชุมครั้งนี้ คือ แนวนโยบายในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาการเมือง ดังนั้น การให้ความรู้ด้านการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตยควรเน้นที่กลุ่มสตรี ในฐานะเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ พร้อมทั้งแสดงความปรารถนาที่จะเห็นสตรีก้าวเข้าไปมีบทบาทในองค์การบริหารส่วนตำบลมากขึ้น เพราะการเมืองระดับท้องถิ่นนั้น เปรียบได้กับรากแก้วของการพัฒนาประชาธิปไตย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลจะส่งเสริมบทบาทของสตรีในระบบราชการ โดยให้สามารถดำรงตำแหน่งในระดับบริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าในปัจจุบัน และมุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ทั้งในด้านการศึกษาและในการรับราชการ ทั้งนี้ รัฐบาลจะยกเลิกข้อสงวนในอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบที่ไทยได้มีพันธกรณีกับองค์การสหประชาชาติ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ผู้บริหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องให้โอกาสแก่สตรีได้ทำงานตามความสามารถ เพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าตามที่ทุกคนมุ่งหวัง