วันนี้ (13ก.พ.58) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาทางวิชาการประจำปีของการใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ในหัวข้อเรื่อง "ข้อมูลข่าวสารกับความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐ" พร้อมมอบนโยบายสำคัญและเน้นย้ำประเด็นความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐให้ขยายผลไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐมีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ รวมทั้งจะได้รับทราบสิทธิที่สำคัญของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีผู้ร่วมงาน ประมาณ 400 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี รองอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และสื่อมวลชน เป็นต้น
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานสรุปว่า พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการได้ตราขึ้นใช้บังคับเพื่อรองรับสิทธิได้รู้ข้อมูลข่าวสารราชการของประชาชน โดยได้กำหนดสิทธิไว้ให้กับประชาชน เช่น สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ สิทธิร้องเรียน สิทธิอุทธรณ์ สิทธิในการขอแก้ไขข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลของตน เป็นต้น และยังได้มีการกำหนดหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐในการเปิดเผยหรืออาจไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น ตามหลักการที่ว่า “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” การจัดงานสัมมนาทางวิชาการฯ ครั้งนี้ มีจุดหมุ่งหมายที่สำคัญ คือ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของรัฐ คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวร่วมกับภาคเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชนสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวของทางราชการ ได้จัดให้มีปาฐกถาเรื่อง “ข้อมูลข่าวสารกับความโปร่งใสในการบิรหารงานภาครัฐ” จากนายกรัฐมนตรี รวมทั้งรับฟังทัศนะจากผู้ทรงคุณวุฒิของภาครัฐและเอกชนในการเสวนาหัวข้อ “ข้อมูลข่าวสารกับการปฏิรูปประเทศไทย” พร้อมทั้งชมนิทรรศการจากหน่วยงานต้นแบบในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกี่ยวข้องด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาเป็นประธานเปิดการสัมมนาทางวิชาการประจำปีของการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ประจำปี 2557 รวมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง “ข้อมูลข่าวสารกับความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐ” ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2540 และวันนี้เป็นการจัดงานสัมมนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 17 ปี ของการประกาศใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการฯ เพื่อจะได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในหน่วยงานส่วนกลางของรัฐ ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามในส่วนของท้องถิ่นยังมีปัญหาในเรื่องของความเข้มแข็งและความพร้อม ดังนั้นจึงขอให้หน่วยงานส่วนกลางดำเนินการให้หน่วยงานท้องถิ่นมีความพร้อมให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะในปี 2557 – 2558 เป็นปีที่รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อที่จะนำพาประเทศชาติให้ก้าวผ่านพ้นความขัดแย้ง และการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบในราชการ ฉะนั้นจึงขอความร่วมมือทุกคนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนได้มีส่วนร่วมที่จะนำพาและขับเคลื่อนประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ดังกล่าวในช่วงนี้ไปให้ได้ เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ รองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และประชาคมโลก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงได้ก็คือ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 เพราะจะทำให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และไม่นำไปสู่การเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาอีก และเพื่อเตรียมความพร้อมประเทศไทยไปสู่การเลือกตั้งและเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์โดยเร็ว สามารถเดินหน้าประเทศไปได้โดยไม่กลับมาสู่ปัญหาความขัดแย้งเช่นเดิม
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า มีหลายเรื่องที่มีความก้าวหน้า แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เป็นปัญหาหมักหมมมายาวนาน โดยเฉพาะเรื่องของการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ ดังนั้นจากนโยบายของรัฐบาลทั้ง 11 ด้าน ที่ได้แถลงต่อ สนช. โดยหนึ่งในนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะพูดในวันนี้ คือ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ โดยเน้นการยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจในระบบราชการ และปรับปรุงหรือจัดให้มีกฎหมายที่ครอบคลุมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในภาครัฐทุกระดับ ซึ่งถือว่าเป็นวาระสำคัญเร่งด่วนแห่งชาติโดยให้แทรกอยู่ในการปฏิรูปทุกด้าน
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า วันนี้รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขับเคลื่อนประเทศโดยดำเนินการ 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) การบริหารราชการแผ่นดินปกติ 2) การปฏิรูปประเทศ 3) การรักษาความสงบเรียบร้อยและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนไทยทั้งประเทศให้มีความรักสามัคคี อย่างไรก็ตามขณะนี้สิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศไทยคือเศรษฐกิจ ซึ่งมีปัญหาความอ่อนแอในเชิงโครงสร้างและการปฏิบัติมายาวนาน รวมทั้งการที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่บางประเทศประสบปัญหาเศรฐกิจตกต่ำก็จะส่งผลมาสู่ประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้รัฐบาลได้มีการนำมาประกอบการพิจารณาในการที่จะขับเคลื่อนประเทศ เพื่อทำให้ประเทศมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ต้องร่วมกันดำเนินการและบูรณาการเพื่อนำไปสู่เป้าหมายและนโยบายที่รัฐบาลกำหนดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ว่า สิ่งสำคัญคือการนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมและทำให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการวันนี้ต้องดีขึ้นกว่าเดิมและมีความโปร่งใส เพราะปัจจุบันมีช่องทางติดต่อสื่อสารได้หลายช่องทางที่สามารถเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบได้ โดยเฉพาะข้อมูลโครงการต่าง ๆ ที่รัฐจะดำเนินการ สามารถเปิดเผยได้ว่าจะมีขั้นตอนการดำเนินการและการจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร เป็นต้น
ขณะเดียวกันมาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ก็เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารจัดการที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการดำเนินการที่สามารถเปิดเผยและตรวจสอบได้ทั้งตัวข้อมูลข่าวสารและกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารราชการแผ่นดินโดยใช้หลักธรรมาภิบาล ซึ่งมีเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใส 7 ด้าน คือ1) มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการจัดหาพัสดุหรือการจัดซื้อจัดจ้าง 2) มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการบริการงาน 3)มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการให้บริการแก่ประชาชน 4) มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการบริหารงานบุคคล 5) มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการบริหารงบประมาณ 6)มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการติดตามและประเมินผล และ7) มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการเปิดเผยและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ
ทั้งนี้ การประเมินผลตามเกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 จะมุ่งเน้นการประเมินใน 3 มิติ คือ (1) การเปิดเผยและตรวจสอบได้ (2) กระบวนการและขั้นตอนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และ (3) การดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีในปี 2557 ที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ 85 จากการจัดอันดับทั้งหมด 175 ประเทศทั่วโลกของการจัดอันดับดัชนีตัวชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ประจำปี 2557 ซึ่งประเทศไทยได้ 38 คะแนน จาก 100 คะแนน และเป็นอันดับที่ 12 จาก 28 ประเทศในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ซึ่งนับได้ว่ามีผลคะแนนดีขึ้นบ้าง และได้อันดับที่ดีกว่าเดิมเมื่อเปรียบเทียบจากปีที่แล้วที่ได้อับดับที่ 102 ในระดับโลก และอันดับที่ 16 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภาครัฐและการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารแห่งชาติว่า มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภาครัฐ ตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2529 ทั้งนี้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาว่าสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางที่กำหนด และครอบคลุมหรือไม่ ทั้งเรื่องการพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน รวมไปถึงการพิจารณาเรื่องหรือข้อมูลที่ควรเปิดเผยหรือควรจะยกเว้น เป็นต้น นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแนวคิดที่จะจัดตั้งกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องการติดต่อสื่อสารที่ยังไม่ทั่วถึง รวมทั้งต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และเป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารของราชการครอบคลุมทุกหน่วยงานโดยผ่านระบบฐานข้อมูลหน่วยงานของรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการใช้ประโยชน์ในเรื่องดังกล่าวเป็นไปอย่างคุ้มค่าอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความหวังว่าผู้ที่ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณและเกียรติบัตรวันนี้ ปีหน้าจะได้รับรางวัลเพิ่มขึ้น และขอคนไทยทุกคนร่วมใจกันนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้ โดยนำวิกฤตวันนี้มาเป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อค่าตอบแทนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม ตามภารกิจที่ทุกคนรับผิดชอบและทุ่มเทการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ อย่างไรก็ตามการใช้จ่ายและการดำรงชีวิตขอให้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยมีการใช้จ่ายอย่างมีเหตุมีผล พอประมาณให้เหมาะสมตามฐานะของตนเอง และมีความรู้คู่คุณธรรม นอกจากนี้ทุกคนต้องช่วยกันรักษาระดับความเป็นข้าราชการที่ดี มีเกียรติยศและศักดิ์ศรี และบริการประชาชนให้ได้อย่างที่ประชาชนตั้งความหวังไว้ ซึ่งสามารถให้บริการและติดต่อสื่อสารได้หลายช่องทาง รวมทั้งรับเรื่องราวร้องเรียนและปัญหาต่าง ๆ ของประชาชนได้ผ่านศูนย์ดำรงธรรมที่มีอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่การบริหารการใช้จ่ายงบประมาณก็ขอให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และทั่วถึงทุกพื้นที่ โดยพิจารณาถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของแต่ละพื้นที่เป็นลำดับแรกประกอบการดำเนินการดังกล่าวด้วย
ต่อจากนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบรางวัลให้กับหน่วยงานและบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้แก่ โล่ประกาศเกียรติคุณหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐที่กำหนดภายใต้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ที่ได้คะแนนระดับดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 จำนวน 5 หน่วยงาน การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณหน่วยงานต้นแบบในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ ระดับดีเด่น ดีมาก และดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555 – 2557 จำนวน 105 หน่วยงาน รวมทั้งการมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ผ่านการทดสอบตามโครงการทดสอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.25540 ประจำปี 2556 – 2557 จำนวน 167 คน
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th