พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในโอกาสเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2558 โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลง การเติบโตและขยายตัวของอุตสาหกรรมของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ก่อให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีคุณภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเกษตร โลจิสติกส์ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและการสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและการบริการ การพัฒนาฝีมือแรงงานนั้นเพื่อให้แรงงานเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูง มีทักษะฝีมือ และมีความชำนาญ สามารถทำงานที่มีความหลากหลายและมีความซับซ้อนสูง อันจะนำไปสู่การเพิ่มความสามารถการผลิตของประเทศ จึงเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทยที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ
“คณะกรรมการ กพร.ปช. ต้องกำหนดนโยบายและการพัฒนาแรงงานจากส่วนกลางลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้การพัฒนากำลังแรงงานในฐานะทรัพยากรมนุษย์เป็นตัวนำในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน อนาคตอันใกล้ เราจะมีเขตเศรษฐกิจพิเศษเกิดขึ้น ฉะนั้นแรงงานที่เราต้องการก็จะมากขึ้น เราจึงต้องเตรียมแรงงานต่างด้าวมารองรับ เนื่องจากแรงงานไทยไม่ค่อยทำงานระดับล่าง แต่ต้องพัฒนาทักษะฝีมือเพิ่มขึ้น ทำอย่างไรที่จะต้องเร่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายในปีนี้ให้ได้ โดยรัฐบาลต้องการที่จะขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น”รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า มี 2 เรื่องที่กระทรวงแรงงานต้องไปทำ คือ การกำหนดเวลาเพื่อให้การขับเคลื่อนเร็วขึ้น ภายใน 6 เดือนจะเกิดอะไรขึ้นต้องมีความชัดเจน ภายใน 1 ปีจะเกิดอะไรขึ้นและภายหลัง 1 ปีจะเกิดอะไรขึ้นต้องมีความชัดเจน โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 ระยะ และต้องปรับภาษาวิชาการให้เป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย มิฉะนั้นการขับเคลื่อนของคณะ กพร.ปช. จะไปได้ยากมาก
ด้าน รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงศ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงผลการศึกษาการเตรียมแรงงานไทยเพื่อรองรับประชาคมอาเซียนตามข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (MRAs) ใน 7 สาขาอาชีพและเพิ่มเติมสาขาการท่องเที่ยว ที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี พบว่าแรงงานไทยส่วนใหญ่มีทักษะด้านภาษา ไอทีและการคิดคำนวณต่ำกว่าที่นายจ้างต้องการ ส่วนผลการจัดอันดับสัดส่วนแรงงานทักษะฝีมือแรงงานของไทยใน 7 สาขาอาชีพตามข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (MRAs) โดยเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนรวม 10 ประเทศพบว่า สาขาวิศวกรอยู่อันดับ 8 แพทย์อยู่ในอันดับ 7 พยาบาลอยู่อันดับ 6 ทันตแพทย์อยู่อันดับ 5 สถาปนิกอยู่อันดับ 4 ส่วนนักสำรวจและนักบัญชีอยู่อันดับ 1 อย่างไรก็ตามนักวิชาการทีดีอาร์ไอได้เสนอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาทักษะแก่แรงงานทั้งด้านภาษา ไอทีและการคิดคำนวณ รวมทั้งปรับทัศนคติให้เด็กไทยได้หันมาสนใจเรียนด้านอาชีวศึกษามากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้สมาคมวิชาชีพต่างๆ มีความเข้มแข็งมากขึ้น ขณะที่คณะอนุกรรมการพัฒนากรอบยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ได้นำเสนอแผนพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ต่อที่ประชุม โดยได้ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2563 จะผลิตรถยนต์ให้ได้ 3.5 ล้านคัน ส่วนความต้องการแรงงานในช่วงตั้งแต่ปี 2556 -2560 ราว 124,000 คน ซึ่งการพัฒนาจะเน้นให้มีทักษะฝีมือและมาตรฐานวิชาชีพสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และมีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแผนดังกล่าว โดยให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพัฒนาแรงงานตามแผนที่วางไว้
กลุ่มงานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
กระทรวงแรงงาน “บริการด้วยใจ เพื่อคนไทยมีงานทำ”
ที่มา: http://www.thaigov.go.th