ที่ประชุมรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานว่า จากการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์พบว่า สถานการณ์ทางการเงินของประเทศเริ่มดีขึ้น จากการวิเคราะห์ ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 57 รวมแล้วโตขึ้น 0.7 % ซึ่งถือว่าดี เพราะเป็นไปตามการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายนอก แต่ต้องดูว่า ทำไมขึ้นเพียง 0.7 %
ด้านการท่องเที่ยว เริ่มดีขึ้นกว่า 20 % จากเดิมมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 7 ล้านคน ขึ้นมาเป็น 7.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนและญี่ปุ่น ขณะที่การท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ เริ่มดีขึ้นด้วยเช่นกัน มีนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเที่ยวกันมากขึ้น สิ่งที่รัฐบาลจะต้องดูแลกันต่อไปคือเรื่องการท่องเที่ยวในช่วงนี้ เพื่อจะได้ช่วยพยุงเศรษฐกิจในด้านอื่นขึ้นมาด้วย
ส่วนเรื่องเงินเฟ้อที่ติดลบนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่มีผลอะไร รวมถึงเรื่องดอกเบี้ยคิวอีของต่างประเทศที่มีการทุ่มเงินลงมาก็ยังไม่มีผล เพราะส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาซื้อหุ้นระยะสั้นที่หวังผลกำไร สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังตรวจสอบมีเพียงเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง พร้อมทั้งมีการวิเคราะห์สถานการณ์ในปีหน้ารวม ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 โดยคาดว่าจะเติบโต 4 %
เรื่องการส่งออก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการก่อสร้าง แต่ต้องระวังในเรื่องของหนี้สินครัวเรือน โดยสั่งการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน เข้าไปดูแล แม้จะมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกรอยู่แล้วก็ตาม แต่การที่จะแก้ปัญหาหนี้ให้ได้ทั้งหมดนั้น คงทำได้ยาก เพราะจำนวนเงินมีมาก
เรื่องยางพารา ที่ผ่านมาได้มีการช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด และต่อไปก็ต้องดูว่าจะช่วยเหลือประชาชนได้เพียงแค่ไหน โดยเฉพาะการยกระดับของราคายางให้สูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญยิ่ง ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพยายามหาวิธีแก้ปัญหาราคายางอย่างต่อเนื่องทุกวิถีทาง เรื่องข้าว รัฐบาลได้มีการพิจารณาว่า ในช่วงฤดูกาลทำนาครั้งต่อไป จะทำอย่างไร เพื่อให้ลดต้นทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่ ค่าเช่าที่ ค่าปุ๋ย ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าไถ ซึ่งจะต้องจัดทำในรูปแบบของสหกรณ์ให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแบบอิสระเหมือนในปัจจุบัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวนา ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลา หรืออาจจะไม่ถูกใจ ไม่ตรงใจใครบ้าง แต่รัฐบาลก็ได้พยายามอย่างเต็มที่และคิดว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุด และต้องดำเนินการทุกอย่างแบบไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง แต่การแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจนั้นต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน
เรื่องการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า มีปัญหาเพียงอย่างเดียวคือ เกษตรกรมีรายได้น้อย เพราะราคาผลิตผลลดลง ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลง ส่วนปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ คือราคาสินค้าเกษตร เพราะมีการสั่งซื้อน้อยลง มีการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้มีการอุดหนุนอย่างเต็มที่แล้วหลายเรื่อง เพื่อให้ประชาชนได้มีเงินใช้สอยอย่างอื่น และหากสถานการณ์หรือการค้าขายของประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นไปด้วย
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th