วันนี้ (12 มี.ค.58) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างประธานและฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการขับเคลื่อนต่าง ๆ 5 คณะ ครั้งที่ 1/2558 ภายหลังการประชุม ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ชะลอเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปก่อน พร้อมกับมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาเรื่องโครงสร้างภาษีที่เหมาะสมในระยะยาว ให้ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจยังมีปัญหาอยู่ เพราะนายกรัฐมนตรีคิดว่ายังมีประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อยที่ยังมีภาระอยู่ ฉะนั้นจึงอยากจะให้ชะลอเรื่องนี้ไปก่อน ให้เป็นไปในแนวทางของการศึกษา ให้ดูว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะมีการดำเนินการต้องไม่กระทบกับประชาชนในอนาคต ซึ่งต้องดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมต่อไป ทั้งนี้ เรื่องการปรับโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเรื่องที่เป็นการหารือเป็นการภายในเท่านั้นยังไม่ได้เป็นข้อยุติแต่อย่างใด แต่เมื่อเป็นข่าวออกมาก็ทำให้หลายฝ่ายกังวล ดังนั้นเพื่อความชัดเจนนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ชะลอไปก่อน และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการศึกษาเรื่องนี้และดูแนวทางที่เหมาะสมในอนาคต โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาเรื่องโครงสร้างภาษี เรื่องการปฏิรูปภาษีให้เหมาะสมสำหรับอนาคต พร้อมกับได้ศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของระบบภาษีของประเทศอื่น ๆ กับระบบภาษีของประเทศไทย รวมถึงเปรียบเทียบประสิทธิภาพในเชิงของการจัดเก็บภาษี ในการใช้จ่ายเงินรายได้ของประเทศไทยกับต่างประเทศ ซึ่งได้มีการรายงานมาเป็นระยะอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี ในเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะยังไม่มีการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า
พร้อมกันนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือกับเอสเอ็มอี ว่าจะให้มีการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีด้วยโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ Policy Loan ซึ่งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ ธพว. จะสรุปข้อเสนอให้ชัดเจนและนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้ ธพว. ปล่อยเงินกู้ให้เอสเอ็มอีในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยกระทรวงการคลังจะชดเชยดอกเบี้ย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอ เอสเอ็มอีกลุ่มสตาร์ตอัพที่มีนวัตกรรม และเอสเอ็มอีขนาดย่อมที่มีศักยภาพมีแนวโน้มสามารถเติบโตไปสู่ขนาดกลางได้ รวมทั้งเอสเอ็มอีที่มีความประสงค์ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเออีซี โดยกำหนดมาตรการเสริมต่าง ๆ เช่น มาตรการในส่วนของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย. ที่จะมีสัดส่วนความรับผิดชอบในการจ่ายค่าประกันชดเชยเพิ่มขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราไม่เกินร้อยละ 18 โดยจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาว่าจะปรับเพิ่มในส่วนนี้ได้เท่าไร ทั้งนี้ เป็นร้อยละของพอร์ตที่ให้การค้ำประกันเฉพาะลูกหนี้รายใหม่ทั้งที่ให้กู้ยืมภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และในการให้กู้ยืมของธนาคารอื่น ๆ ด้วย โดยขอให้รัฐบาลจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับ บสย. ในส่วนที่เกินจากค่าธรรมเนียม นอกจากนี้ มีโครงการ Machine Fund ที่เป็นการให้เงินช่วยเหลือค่าดอกเบี้ยให้กับเอสเอ็มอีที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อในการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการดำเนินธุรกิจ และรองรับการขาดแคลนแรงงานในอนาคต มีกลุ่มเป้าหมายคือเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว เอสเอ็มอีกลุ่มสตาร์ตอัพที่มีนวัตกรรม เอสเอ็มอีขนาดย่อมที่มีศักยภาพมีแนวโน้มสามารถเติบโตไปสู่ขนาดกลางได้ รวมทั้งเอสเอ็มอีที่มีความประสงค์ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเออีซี โดยทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะช่วยทำหน้าที่คัดกรองลูกค้าเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมในโครงการ และจะประสานงานกับหน่วยงานที่มีองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อจะพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ฝากที่ประชุมถึงเรื่อง 1. การจัดตั้ง One Stop Service ในศูนย์การค้าต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ภาคธุรกิจ ภาคที่ต้องใช้แรงงาน โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการบูรณาการการทำงานระหว่างบีโอไอ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นได้ด้วยดีอย่างยิ่ง แต่ยังขาดข้อมูลจากภาคเอกชนว่ามีความต้องการแรงงานมากน้อยแค่ไหน ในภาคธุรกิจใด อย่างไร และต้องการแรงงานที่มีทักษะอย่างไร ซึ่งจะได้มีการติดต่อไปยังภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องต่อไป 2. เรื่อง ร่าง พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีข้อสงสัยในเรื่องการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านตู้นั้น ขอย้ำว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะเรื่องเครื่องจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลยังติดอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ในกระบวนการของศาลอยู่ ซึ่งจะต้องติดตามกันต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ตามที่มีข่าวเกี่ยวกับการขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น ทางบีทีเอสยืนยันแล้วว่ายังไม่มีแผนในการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด ถึงแม้จะมีข้อตกลงว่าบีทีเอสสามารถปรับราคาค่าโดยสารได้ทุก 18 เดือน
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th