อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมประกวดเรียงความหัวข้อ “ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ” เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นสะท้อนแนวคิดผ่านการประกวดเขียนเรียงความ ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ การจัดประกวดเรียงความฯ แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ส่งผลงานเข้าประกวด รวมทั้งสิ้น 5,731 ผลงาน จากประถมศึกษา 1,718 ชิ้น มัธยมศึกษา 3,683 ชิ้น และอุดมศึกษา 330 ชิ้น ผ่านการคัดเลือกและตัดสินของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจนถึงรอบสุดท้าย มีผู้ชนะการประกวดเพื่อเข้ารับรางวัลในวันนี้ รวม 34 ผลงาน จากประถมศึกษา 12 รางวัล มัธยมศึกษา 10 รางวัล และอุดมศึกษา 12 รางวัล
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแข่งขันประกวดเรียงความเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ เพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนทั่วประเทศนำค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการมาใช้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า จะได้เห็นสังคมที่เป็นระเบียบเรียบร้อย มีความรักชาติ บ้านเมือง มีความสามัคคี มีวินัย มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และเป็นคนดีมีคุณภาพของประเทศ ดังนั้น เยาวชนทุกคนต้องยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดี และการดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งการมีความรู้ควบคู่คุณธรรม เพราะการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมต้องอาศัยคุณธรรม จริยธรรมเป็นพื้นฐาน เพื่อความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ และความสงบสุขของบ้านเมือง อนาคตของประเทศไทยอยู่ที่เยาวชนไทยทุกคน นอกจากนี้ ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายของ คสช. ไม่ได้ไปขัดแย้งหรือไปเลิกใช้เพลงหน้าที่เด็ก (เด็กเอ๋ยเด็กดี) ทำมาก่อนหลายปีแล้ว ซึ่งต้องบอกว่าเราต้องเริ่มของใหม่แต่อย่าลืมของเก่าที่เขาทำไว้แล้ว
“สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเคยสั่งสอนไว้ว่า ต้องให้คนไทยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ไม่ได้ให้เขามารักเรา ไม่ให้รักกษัตริย์อย่างเดียว ต้องสอนให้เขาเรียนรู้ว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยมีความเป็นมาอย่างไร มีความยากลำบากอย่างไร เสียเลือดเสียเนื้อกันมากเท่าใด กว่าที่จะมีดินแดนผืนนี้มาให้ทุกคนอยู่ในประเทศไทย ถ้าหากว่าเราไม่รู้ว่าเราเป็นคนไทยมาจากไหนต่อสู้อะไรมาบ้าง เราก็คงไม่รู้ว่าเราจะรักชาติไทยกันอย่างไรและความภาคภูมิใจอยู่ที่ตรงไหน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายข้อหนึ่งของรัฐบาล คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีพทุกวัย ซึ่งต้องปรับระบบทุกระบบ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับสภาพ ความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้าน ทั้งการค้า การลงทุน เศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจภายในชนบทและชายแดนต่างๆ การสร้างความเชื่อมโยงสาธารณูปโภคพื้นฐานต้องเริ่มดำเนินการทั้งหมด เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC ในปี 2558
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินงานทุกอย่างในการวางอนาคตและแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับรูปแบบการศึกษาของไทย โดยนำเด็กเป็นศูนย์กลางคือ ทุกอย่างต้องกลับไปที่เด็ก เพราะจะสร้างเด็กเป็นอนาคตของชาติ อาจจะเริ่มตั้งแต่เตรียมอนุบาลจนถึงประถมศึกษา ให้อ่านออก เขียนได้ เพราะเด็กไทยสมัยใหม่ไม่สามารถอ่านออก เขียนได้ รวมถึงครูและผู้ปกครองต้องร่วมกันผลักดันให้เด็กตั้งใจใฝ่เรียน ใฝ่ศึกษาหาความรู้ นอกจากนี้ ต้องการให้เด็กไทยมีความอดออม พอเพียง พอประมาณอีกด้วย
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ชมพูนุท / รายงาน
ดวงฤดี / ตรวจ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th