วันนี้ (23 มี.ค.58) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเพลนนารี่ ฮอลล์ 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันการค้าของประเทศไทย ในการประชุมสามัญประจำปี 2558 ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) โดยมีนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้บริหารของบริษัทสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษสรุปสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า การจะทำให้อุตสาหกรรมของไทยเข้มแข็งต่อไปอย่างยั่งยืนนั้นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจต่าง ๆ จะต้องร่วมมือกัน โดยอยากขอให้ภาคเอกชนภาคธุรกิจได้ช่วยพูดทำความเข้าใจกับสื่อต่าง ๆ ในเรื่องเศรษฐกิจว่าเศรษฐกิจไม่ได้ตกลงหรือแย่ทุกอย่าง เพราะเศรษฐกิจขึ้นกับสถานการณ์โลกและเศรษฐกิจในประเทศ ไม่ควรโทษว่ารัฐบาลทำให้เสียหาย นายกรัฐมนตรีไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยว่าถ้ารัฐบาลไม่เข้ามาทำหน้าที่ตอนนี้สถานการณ์อาจจะหนักกว่านี้ โดยวันนี้รัฐบาลได้ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างที่ไม่ดีได้ชะลอตัวลง แต่ประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เข้าใจ เพราะประชาชนเดือดร้อนจากธุรกิจสีเทาที่ไม่ถูกกฎหมายในประเทศที่ถูกลดจำนวนลง ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งต้องขาดรายได้ ซึ่งก็เห็นใจประชาชน แต่ประเทศจะต้องมีการจัดระเบียบ ต้องให้ความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำให้กับผู้ที่มีอาชีพถูกกฎหมายและเสียภาษีอย่างถูกต้องด้วย โดยจะหาทางช่วยเหลือให้ประชาชนได้มีงานทำที่สุจริตเพื่อความมั่นคงยั่งยืนในวันหน้า และขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งทำเศรษฐกิจชุมชนที่เป็นตลาดภายในประเทศ ในลักษณะให้เกษตรกรเป็นผู้ขายสินค้าเกษตรให้กับประชาชนในพื้นที่ของตัวเองโดยตรง ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ ซึ่งต้องขอฝากให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้สนับสนุนดำเนินการในสิ่งใหม่ ๆ ด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ภาครัฐกับภาคเอกชนจะต้องดำเนินการร่วมกันตั้งแต่เริ่มต้น แก้ไขปัญหาร่วมกัน ทำงานสอดประสานกันทั้งเรื่องของห่วงโซ่อาหาร เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมสีเขียวที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ให้มีความเชื่อมโยงกับโลกภายนอกเพราะทุกประชาคมโลกจะต้องเชื่อมโยงระหว่างกัน รวมถึงต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยี วิจัย วิเคราะห์พัฒนา โดยจะต้องดูแลประชาชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตไปพร้อมกันด้วย สำหรับเรื่องความเชื่อมโยงภูมิภาคของประเทศ รัฐบาลได้เร่งรัดสร้างเส้นทางระหว่างจังหวัด ระหว่างอำเภอในเส้นทางที่จำเป็นก่อน โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ เข้ามาทำหน้าที่เพื่อแก้ปัญหา ขณะที่ในเรื่องเศรษฐกิจชายแดนก็มีความสำคัญ จึงต้องเพิ่มการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น ทั้งนี้ ประเทศเพื่อนบ้านนิยมสินค้าไทยเพราะมีคุณภาพดี แต่สินค้าบางชนิดยังมีราคาสูง จึงขอให้ผู้ผลิตได้มีการปรับลดต้นทุนการผลิตสินค้าโดยไม่ทำให้รายได้ลดลง พร้อมกับขอเชิญชวนผู้ประกอบการให้ความร่วมมือผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกจำหน่ายให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงขอให้ผู้ประกอบการที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพารา รับซื้อยางโดยตรงจากชาวสวนยางไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง โดยให้รับซื้อยางพารากิโลกรัมละ 65 บาท จากราคาตลาด 60 บาท ซึ่งรัฐบาลจะหาแนวทางดูแลส่วนต่างให้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพยายามหาแนวทางยกระดับรายได้ต่อหัวของประชาชนให้สูงขึ้น ทำให้การค้าการลงทุนดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาจีดีพี มูลค่าการค้า การเก็บภาษีลดลงเพราะเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น วันนี้จะต้องทำให้ประชาชนมีสวัสดิการที่ดีขึ้น หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ขณะที่ในการกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์การยกระดับการพัฒนาของไทยนั้นทุกภาคส่วนจะต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันทั้งหมด ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดย่อม รวมถึงจะต้องมีการลงทุนธุรกิจในประเทศเพื่อน และให้มีการดำเนินธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จัดกลุ่มธุรกิจให้ได้ ซึ่งรัฐบาลจะขับเคลื่อนให้ได้ รวมทั้งจะเดินหน้ายุทธศาสตร์ด้านอื่นทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจสังคม การเมืองจิตวิทยา กฎหมาย เพราะทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่เป็นการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ซึ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ ดีขึ้นได้ ก็ด้วยความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ความมีเสถียรภาพของฝ่ายความมั่นคง ทุกอย่างเริ่มมาจากความมั่นคง ถ้าความมั่นคงเกิด สังคมจิตวิทยาก็ดี เศรษฐกิจก็จะดีตามมา โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาอยู่ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการถึงแก่อสัญกรรมของนาย ลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ด้วย
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th