ทำเนียบรัฐบาล--10 เม.ย.--บิสนิวส์
วันนี้ (1 เมษายน 2541) เมื่อเวลา 14.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้นำนายมิตซูโอะ ซาโตะ (Mitsuo Sato) ประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย (ADB) และคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย และร่วมลงนามกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ในสัญญาเงินกู้ และสัญญาค้ำประกันเงินกู้โครงการเงินกู้ร่วม (the signing ceremony of co-financing loan facility) เพื่อสนับสนุนการส่งออกของธนาคารเพื่อการส่งอกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ภายหลังกล่าวต้อนรับ มีการสนทนาสรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณในความช่วยเหลือของธนาคารพัฒนาเอเซีย ที่มีต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทย และขณะนี้แนวโน้มที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นคืนกลับมา กล่าวได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพัฒนาเอเชียด้วยไม่ว่าจะเป็นในรูปของคำแนะนำทางวิชาการและเงินช่วยเหลือจำนวน 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอีกจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันลงนามในวันนี้ (1 เมษายน 2541) โดยมีจุดประสงค์สำคัญคือ เพื่อสนับสนุนการส่งออกของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยและการลงทุน
ประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้แสดงความเห็นว่า ธนาคาร ADB ตระหนักดีว่าจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ได้ส่งผลกระทบต่อความยากลำบากต่อธุรกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคการเงินการธนาคาร อย่างไรก็ดี จากการประเมินสถานการณ์จนถึงปัจจุบันเห็นว่าประเทศไทย และประเทศเกาหลีใต้ ได้ผ่านจุดวิกฤตการณ์ร้ายแรงที่สุด (critical point) มาแล้ว พร้อมกับได้แสดงความชื่นชมและมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน และมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าประเทศไทยกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และมีการบริหารจัดการถูกต้องตามหลักวิชาการ (right way and professional way) ดังจะเห็นได้จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชียยังแสดงความหวังว่า ประเทศต่าง ๆ จะสามารถเรียนรู้ถึงบทเรียนจากประเทศไทย ในการที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ และยังได้ยืนยันว่าธนาคารพัฒนาเอเซีย พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย เพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถประสบผลสำเร็จและบรรลุจุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (we are preparing to assit Thailand to achieve the objectives) และจะพิจารณาว่าหากมีสิ่งใดที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้แล้ว ธนาคารพัฒนาเอเชียก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยนอกเหนือจากเงินกู้ของ ADB ที่ได้อนุมัติให้แก่ประเทศไทยเพื่อการแก้ไขปัญหาทางด้านสังคมแล้ว ทางธนาคาร ADB ยังแสดงความสนใจที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรของไทยต่อไปด้วย
ในโอกาสนี้ ประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้กล่าวว่าสิ่งที่เป็นข้อกังวลของภูมิภาคเอเซียขณะนี้ คือ สถานการณ์ในอินโดนีเซีย โดยกล่าวแสดงความหวังว่า รัฐบาลอินโดนีเซียและกองทุนการเงินระหว่างประเทศจะสามารถตกลงกันได้ภายในสัปดาห์นี้ หรือ ภายในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2541 ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้จะสามารถช่วยให้ตลาดการเงินมีความมั่นใจมากขึ้น และส่งผลให้ทางบวกไม่เพียงแต่เฉพาะภูมิภาคเอเซียเท่านั้นแต่รวมถึงตลาดโลกด้วย และภายหลังข้อตกลงแล้ว รัฐบาลอินโดนีเซียจะสามารถได้รับเงินช่วยเหลืองวดที่สองจากกองทุน IMF ประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้สนทนาถึงการประชุมสุดยอดเอเซีย-ยุโรป (ASEM) ซึ่งจะมีขึ้น ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2541 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตนจะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมด้วย และประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้กล่าวฝากว่าในที่ประชุมดังกล่าว จะเป็นโอกาสดีสำหรับนายกรัฐมนตรี ในการย้ำถึงความก้าวหน้าและมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อประเทศยุโรปจะได้มีความเข้าใจในสถานการณ์ในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น รวมถึงให้ได้รับทราบถึงความมุ่งมั่นและจริงจังของไทย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง--จบ--
วันนี้ (1 เมษายน 2541) เมื่อเวลา 14.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้นำนายมิตซูโอะ ซาโตะ (Mitsuo Sato) ประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย (ADB) และคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย และร่วมลงนามกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ในสัญญาเงินกู้ และสัญญาค้ำประกันเงินกู้โครงการเงินกู้ร่วม (the signing ceremony of co-financing loan facility) เพื่อสนับสนุนการส่งออกของธนาคารเพื่อการส่งอกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ภายหลังกล่าวต้อนรับ มีการสนทนาสรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณในความช่วยเหลือของธนาคารพัฒนาเอเซีย ที่มีต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทย และขณะนี้แนวโน้มที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นคืนกลับมา กล่าวได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพัฒนาเอเชียด้วยไม่ว่าจะเป็นในรูปของคำแนะนำทางวิชาการและเงินช่วยเหลือจำนวน 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอีกจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันลงนามในวันนี้ (1 เมษายน 2541) โดยมีจุดประสงค์สำคัญคือ เพื่อสนับสนุนการส่งออกของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยและการลงทุน
ประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้แสดงความเห็นว่า ธนาคาร ADB ตระหนักดีว่าจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ได้ส่งผลกระทบต่อความยากลำบากต่อธุรกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคการเงินการธนาคาร อย่างไรก็ดี จากการประเมินสถานการณ์จนถึงปัจจุบันเห็นว่าประเทศไทย และประเทศเกาหลีใต้ ได้ผ่านจุดวิกฤตการณ์ร้ายแรงที่สุด (critical point) มาแล้ว พร้อมกับได้แสดงความชื่นชมและมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน และมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าประเทศไทยกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และมีการบริหารจัดการถูกต้องตามหลักวิชาการ (right way and professional way) ดังจะเห็นได้จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชียยังแสดงความหวังว่า ประเทศต่าง ๆ จะสามารถเรียนรู้ถึงบทเรียนจากประเทศไทย ในการที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ และยังได้ยืนยันว่าธนาคารพัฒนาเอเซีย พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย เพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถประสบผลสำเร็จและบรรลุจุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (we are preparing to assit Thailand to achieve the objectives) และจะพิจารณาว่าหากมีสิ่งใดที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้แล้ว ธนาคารพัฒนาเอเชียก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยนอกเหนือจากเงินกู้ของ ADB ที่ได้อนุมัติให้แก่ประเทศไทยเพื่อการแก้ไขปัญหาทางด้านสังคมแล้ว ทางธนาคาร ADB ยังแสดงความสนใจที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรของไทยต่อไปด้วย
ในโอกาสนี้ ประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้กล่าวว่าสิ่งที่เป็นข้อกังวลของภูมิภาคเอเซียขณะนี้ คือ สถานการณ์ในอินโดนีเซีย โดยกล่าวแสดงความหวังว่า รัฐบาลอินโดนีเซียและกองทุนการเงินระหว่างประเทศจะสามารถตกลงกันได้ภายในสัปดาห์นี้ หรือ ภายในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2541 ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้จะสามารถช่วยให้ตลาดการเงินมีความมั่นใจมากขึ้น และส่งผลให้ทางบวกไม่เพียงแต่เฉพาะภูมิภาคเอเซียเท่านั้นแต่รวมถึงตลาดโลกด้วย และภายหลังข้อตกลงแล้ว รัฐบาลอินโดนีเซียจะสามารถได้รับเงินช่วยเหลืองวดที่สองจากกองทุน IMF ประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้สนทนาถึงการประชุมสุดยอดเอเซีย-ยุโรป (ASEM) ซึ่งจะมีขึ้น ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2541 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตนจะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมด้วย และประธานธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้กล่าวฝากว่าในที่ประชุมดังกล่าว จะเป็นโอกาสดีสำหรับนายกรัฐมนตรี ในการย้ำถึงความก้าวหน้าและมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อประเทศยุโรปจะได้มีความเข้าใจในสถานการณ์ในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น รวมถึงให้ได้รับทราบถึงความมุ่งมั่นและจริงจังของไทย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง--จบ--