เอสเอ็มอีแบงก์ โชว์ผลงาน 2 เดือน ปี 58 กำไรเพิ่ม NPLs ลดต่อเนื่อง พร้อมปฎิบัติตามยุทธศาสตร์ช่วยเหลือเอสเอ็มอี ครบวงจร ของรัฐบาล

ข่าวทั่วไป Friday March 20, 2015 15:32 —สำนักโฆษก

ในวันนี้ (20 มีค. 2558) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ได้แถลงข่าวถึงผลการดำเนินการ และ ยุทธศาสตร์ในการช่วยเหลือ SMEs โดยมี นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ และ นายสุพจน์ อาวาส กรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

ผลการดำเนินงานเพียงสิ้นเดือน กพ. 2558

กำไรสุทธิ เดือน กพ. 2558 เท่ากับ 146 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือน มค. 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 98 ล้านบาท และเกินเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้มีกำไรสุทธิเดือนละ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลกำไรที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากธนาคารได้ข้อยุติเรื่องการร่วมลงทุนในอดีตทำให้สามารถนำผลกำไรจากส่วนนี้มารวมอยู่ด้วย โดยกำไรสุทธิรวม 2 เดือนของธนาคาร (มค. – กพ.) เท่ากับ 244 ล้านบาท

ด้าน NPLs เดือน กพ. 2558 ลดลงจากเดือน มค. 2558 ประมาณ 773 ล้านบาท โดย ณ สิ้น กพ. NPLs เท่ากับ 30,899 ล้านบาท (คิดเป็น 36.24%ของยอดสินเชื่อรวม) และลดจากเดือน มิย. 2557 ที่มียอด NPLs เท่ากับ 35,167 ล้านบาท (คิดเป็น 39.92%ของยอดสินเชื่อรวม) หรือลดลงประมาณ 4,268 ล้านบาท ทั้งนี้ สาเหตุเนื่องจากธนาคารปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ที่ดำเนินกิจการอยู่ได้ผล ช่วยประคองกิจการให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่งผลให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้อย่างสม่ำเสมอ โดยจ่ายดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR รวมถึงจ่ายเงินต้นได้บ้างด้วย ซึ่งการช่วยรักษาลูกหนี้ให้ดำเนินกิจการต่อไปได้นี้ ทำให้สามารถรักษาการจ้างงานได้ถึง 13,888 คน นอกจากนี้ ธนาคารได้ขายหนี้กองตะวันออกไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังยื่นซองประกวดราคาขายหนี้กองกรุงเทพและปริมณฑล ที่มียอดหนี้คงค้างประมาณ 1,600 ล้านบาท

ด้านสินเชื่อ ธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อใหม่ในเดือน กพ. 2558 ประมาณ 3,172 ล้านบาท รวม 2 เดือน มค.-กพ. 2558 อนุมัติสินเชื่อรวมประมาณ 4,878 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นสินเชื่อวงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนผู้ประกอบการประมาณ 2,446 ราย และยอดเบิกจ่าย ประมาณ 4,471 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้าง เท่ากับ 85,260 ล้านบาท ซึ่งยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือน มค. เนื่องจาก ลูกค้ารายใหญ่ ได้ชำระหนี้คืน และธนาคารไม่ได้เชิญชวนให้เพิ่มวงเงินสินเชื่อใหม่

นอกจากนี้ ธนาคารได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ลง 0.25% จากเดิม 7.25% ต่อปี เหลือ 7% ต่อปี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2558เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคารบ้างในอนาคต เนื่องจากการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการลดเงินกู้เพียงด้านเดียว ส่วนด้านเงินฝากไม่ได้มีการลดดอกเบี้ยแต่อย่างใด

สำหรับการทำพันธกิจต่อไปของธนาคาร ตามมาตรการช่วย SMEs ที่ ครม. อนุมัติ เมื่อวันที่ 17 มีค.2558 ธนาคารมีส่วนร่วม ดังนี้

การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะคิดดอกเบี้ยจาก SMEs ในอัตรา 4% ต่อปี และอยู่ระหว่างขอให้กระทรวงการคลังชดเชยให้เอสเอ็มอีแบงก์ 3% ซึ่งจะช่วยลดภาระให้แก่ SMEs ในช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว และไม่ตัดโอกาส SMEs ที่มีประวัติค้างชำระในเครดิตบูโร ที่มีความสุจริตใจให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจใหม่ได้อีกครั้ง โดยเป้าหมายของการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ SMEs ในระยะเริ่มแรกที่มีนวัตกรรม SMEs ขนาดเล็กที่มีศักยภาพจะเติบโตเป็นขนาดกลางได้ และ SMEs ที่ประสงค์จะค้าขายหรือลงทุนในกลุ่มประเทศ AEC

นอกจากนั้น ยังมีอีก 2 เรื่องที่สำคัญ ซึ่ง สสว. เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง และ เอสเอ็มอีแบงก์ คงมีส่วนเข้าร่วมมือด้วย โดย สสว. จะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ สสว. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้แก่

โครงการ Machine Fund ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเปลี่ยนเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งโครงการนี้ สสว.เป็นผู้รับผิดชอบ และเปิดให้ธนาคารทุกแห่งเข้ามีส่วนร่วม ซึ่งทางเอสเอ็มอีแบงก์ ก็จะเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย

โครงการจัดตั้ง Website ในลักษณะ E-commerce ร่วมกับ สมาพันธ์ SMEs ไทย และ สสว. เพื่อให้ SMEsรายย่อยขายสินค้าแบบ Business to Business ผ่านช่องทาง Online ในลักษณะเดียวกับ Website ของ Alibaba.com โดยมีระบบการชำระเงินที่เชื่อถือได้ ทั้งนี้ เนื่องจาก SMEs รายย่อยมีข้อจำกัดในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ในร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้า ควรช่วยให้มีการขายแบบ Online ได้ เพราะเป็นวิธีที่สะดวก และมีต้นทุนค่าการตลาดต่ำที่สุด โดยในขั้นแรกจะให้ครอบคลุมตลาดในประเทศก่อน และจะต่อยอดไปในตลาด AEC รวมถึง การใช้ Website ในการหาผู้ร่วมลงทุน หรือ ผู้ซื้อสินค้าในจำนวนไม่มากนักในตลาดเพื่อนบ้าน

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร.02-265-4564-5

ที่มา : กระทรวงการคลัง

ผู้นำเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ