พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีชายอายุ ๔๘ ปี อดีตข้าราชการตำรวจ ป่วยพิการทางสมอง สายตาฝ้าฟาง ร่างกายชักกระตุกตลอดเวลา สาเหตุจากขี่รถไล่จับแก๊งค้ายาเสพติด และถูกเบียดตกถนนได้บาดเจ็บกลายเป็นผู้พิการ ไม่สามารถรับราชการต่อได้ ต้องลาออก โดยมีแม่อายุ ๗๖ ปี คอยดูแล อยู่กันลำพังเพียง ๒ คน ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และกรณีพบหญิงชราเร่ร่อน อาศัยนอนตามซอกตึก ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมข้างซ้าย มีเลือดไหลตลอดเวลา ซึ่งแผลเริ่มเน่าและลุกลาม ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดปทุมธานี อีกกรณีเด็กชายอายุ ๑๒ ปี ถูกงูเห่ากัดที่นิ้ว จนลุกลามเป็นแผลพุพองทั่วทั้งแขน ครอบครัวฐานะยากจน ไม่มีเงินรักษาพยาบาล ที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งทั้ง ๓ กรณีนี้ ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง ๓ จังหวัด ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลต่อไป
พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีเด็กชาย อายุ ๑๒ ปี ใช้ชีวิตตามลำพัง หลังจากพ่อถูกจับดำเนินคดี อาศัยเพิงหน้าสถานีรถไฟเป็นที่หลับนอน เพื่อขึ้นรถไฟฟรีเก็บขยะขาย หาเงินดำรงชีพ และช่วยงาน ตามร้านค้าในละแวกใกล้เคียง แลกข้าวประทังชีวิต ไม่ได้เรียนหนังสือ ที่จังหวัดพิษณุโลก ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก (พมจ.พิษณุโลก) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้น จัดสิ่งของอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กในระยะยาว หากตรวจสอบว่าไม่มีญาติพี่น้อง ให้รับเด็กเข้ามาอยู่ในความดูแลของกระทรวงฯ และกรณีหญิงชราและชายชรา อายุ ๗๙ ปี สายตาพร่ามัว เป็นต้อกระจกแทบมองไม่เห็น แต่ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิต รับภาระเลี้ยงดูหลาน ๒ คน ยึดอาชีพสานไม้กวาดก้านมะพร้าวขาย ที่จังหวัดนครพนม ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม (พมจ.นครพนม) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลหญิงและชายชรา และเกี่ยวข้องดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กในระยะยาวต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th