ดร.พิเชฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ การเคลื่อนย้ายบุคลากรนักวิจัยและนักเรียนทุนในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ให้ไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) ครม. เห็บชอบในเรื่องนี้แล้ว เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงพัฒนาระบบงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในระดับนึงแล้ว แต่การลงทุนยังไม่มากพอ และวิธีที่จะช่วยให้ภาคเอกชนลงทุนมากขึ้นก็คือ การเพิ่มมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากเดิมที่ 200% เป็น 300% การเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาสู่เป้าหมายให้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ของรายได้ประชาชาติ ส่วนด้านบุคลากรนักวิจัยและนักเรียนทุนที่ไปทำงานให้กับเอกชน ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานเต็มเวลา นับเป็นอายุราชการหรืออายุงานของหน่วยงานต้นสังกัดรวมถึงการขึ้นเงินเดือนได้ตามที่หน่วยงานต้นสังกัดกำหนด
นอกจากนี้ ดร.พิเชฐ ได้ย้ำว่า Talent Mobility จะเป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายด้วยกัน ทั้งนี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ในอนาคตเราจะได้เห็นเด็กไทยหันมาเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา กลุ่มส่งเสริมสนับสนุนเผยแพร่และใช้ประโยชน์งานวิจัย
โทร. 0 2610 5337
เขียนข่าว : นางสาวศิริลักษณ์ สิกขะบูรณะ
ถ่ายภาพ : นางสุนิสา ภาคเพียร นาวงษ์
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3727 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
e-mail : pr@most.go.th
Facebook : sciencethailand
ที่มา: http://www.thaigov.go.th