นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมพบปะพูดคุยเป็นครั้งแรกกับเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกหลังจากว่างเว้นการประชุมมาแล้ว 3 ปี ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มุ่งมั่น ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจสถานการณ์และเชื่อมั่นต่อประเทศไทย รวมทั้งสานต่อความร่วมมืออันดีกับต่างประเทศในทุกมิติ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดการดำเนินงานและเป้าหมายของรัฐบาลไปยัง เวทีโลก และสะท้อนความคิดเห็นของต่างประเทศที่มีต่อไทยให้รัฐบาลทราบ นายกรัฐมนตรีจึงขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ คำนึงถึงความเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรับผิดชอบ สร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ และสร้างความสมดุลในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆบนพื้นฐานของผลประโยชน์ ทั้งต่อประเทศชาติ ประชาชนไทย และประชาคมโลก เป็นสำคัญ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่เร่งติดตามและผลักดันสิ่งที่รัฐบาลได้ มีความตกลง หรืออยู่ระหว่างการหารือกับต่างประเทศไว้ อาทิ การจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) เป็นต้น รวมถึงแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน โดยบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเป็นระยะเวลายาวนานหลายเดือน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นวงกว้าง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ทำให้หลายประเทศลดความเชื่อมั่นและอาจไม่เข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทำความเข้าใจกับต่างประเทศและปฏิบัติตามโรดแมพที่วางไว้ เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจว่ารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ และพร้อมกับร่วมมือกับนานาชาติเพื่อแก้ไขปัญหาอื่นๆร่วมกัน อาทิ ปัญหาการค้ามนุษย์ ยาเสพติด โรคระบาด และภัยพิบัติ สำหรับมาตรา 44 ที่กำหนดอยู่แล้วในรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว นี้นั้น ขอให้สถานเอกอัครราชทูตเร่งทำความเข้าใจและยืนยันแก่นานาประเทศให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ไทยจะใช้กฎหมายนี้เพื่อความมั่นคงและทำให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย และนำมาปฏิบัติอย่างถูกต้องและชอบธรรม ภายใต้หลักสากลและการเคารพสิทธิมนุษยชนเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนว่า หากประเทศไทยไม่มีการเตรียมการอย่างจริงจังและทั่วถึงในทุกๆด้าน จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้น ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะต้องร่วมมือกัน เตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างมั่นคง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาเรื่องการพัฒนาโครงสร้างระบบขนส่งคมนาคมและการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมภายในและภายนอกภูมิภาค รวมไปถึงการพิจารณาแนวคิดที่จะพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งล้วนเป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามยุทธศาสตร์ ASEAN +1 หรือ Thailand +1 ที่กำหนดให้ประเทศไทยร่วมมือกับประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อการค้าและการลงทุน ทั้งในลักษณะเป็นฐานการผลิต จุดเชื่อมโยง และศูนย์กลางการกระจายสินค้าในภูมิภาค โดยจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานและการลงทุน รวมถึงส่งเสริมการกระจายรายได้ในสังคมไทย และภูมิภาคโดยรวม
โดยภายหลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการชี้แจงต่อเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ ในเรื่องสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการดำเนินการต่างๆที่รัฐบาลได้แก้ไข เพื่อที่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่จะได้นำสิ่งเหล่านี้ ไปชี้แจงและสร้างความเข้าใจแก่นานาประเทศให้มากขึ้น นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการเร่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการดำเนินการให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของไทยเป็นแบบ One Stop Service และดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการประชุมในวันนี้ เป็นที่น่ายินดีที่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ต่างมีความเข้าใจดีต่อรัฐบาล พร้อมชื่นชมกระทรวงการต่างประเทศว่ามีบุคลากรที่มีความสามารถ มีการเตรียมพร้อมในการสร้างความเข้าใจแก่นานาประเทศได้เป็นอย่างดี
ที่มา: http://www.thaigov.go.th