ผลการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา : ให้ตั้งคณะอนุกรรมการในคุรุสภา 11 คณะ
และปรับลดหลักเกณฑ์การอบรมหลักสูตรครูต่างชาติ จาก 42 ชั่วโมง เหลือ 20 ชั่วโมง
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า จากการที่ได้มอบให้นายกมล ศิริบรรณ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการคุรุสภา รวบรวมข้อมูลและพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสมของคณะอนุกรรมการของคุรุสภาทั้ง 37 คณะนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นว่า ควรมีการปรับลดคณะอนุกรรมการที่ไม่มีความจำเป็น โดยได้ใช้วิธีการควบรวมคณะอนุกรรมการที่มีหน้าที่ใกล้เคียงกันเป็นชุดเดียวกัน ดังนั้นจึงเหลือคณะอนุกรรมการที่มีความจำเป็นอยู่เพียง 11 คณะ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดอบรมหลักสูตรความรู้ เพื่อประกอบการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของชาวต่างประเทศ ซึ่งมีมติเห็นชอบให้ปรับลดหลักเกณฑ์การอบรมหลักสูตรดังกล่าว จาก 42 ชั่วโมง เหลือ 20 ชั่วโมง ได้แก่ ภาษาวัฒนธรรมไทย สังคมไทย ศิลปะไทย กฎหมายเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ พร้อมทั้งเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการอบรม ไม่เกิน 4,000 บาทต่อหลักสูตร เนื่องจากเดิมคิดค่าใช้จ่ายในการอบรมหลักสูตรละ 10,000 บาท ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น และเมื่อเทียบเคียงกับค่าใช้จ่ายของสถาบันการศึกษาอื่นๆ ถือว่าสูงกว่า เช่น สมาคมครูโรงเรียนนานาชาติ คิดค่าใช้จ่าย 3,500 บาท มหาวิทยาลัยต่างๆ คิดค่าใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 8,000 บาทต่อหลักสูตร เป็นต้น นอกจากนี้เห็นควรให้มีการปรับลดค่าวุฒิบัตรในการอบรมจาก 1,000 บาท ให้เหลือเพียง 500 บาทด้วย
อย่างไรก็ตาม การจัดอบรมดังกล่าวทางสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจะไม่จัดเอง แต่จะเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันต่างๆ ที่มีความพร้อมและมีความประสงค์จะจัดการอบรมหลักสูตรนี้ โดยสามารถมาขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้
ผลการประชุมคณะกรรมการ สกสค. : ปรับองค์ประกอบบอร์ดให้เหลือ 9 ราย
ที่ประชุมรับทราบกรณีที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ได้เข้ามาตรวจสอบเอกสารการเงิน การบัญชี การจัดซื้อจัดจ้าง และการดำเนินงานของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2558 เป็นต้นไป โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำให้สำนักงาน สกสค. อำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องเอกสารและหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการปรับปรุงแก้ไขข้อบังคับของสำนักงาน สกสค. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล โดยมีการปรับองค์ประกอบคณะกรรมการ สกสค.จาก 11 ราย ให้เหลือ 9 ราย และปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการอุทธรณ์และร้องทุกข์ จาก 11 ราย เหลือเพียง 9 รายเช่นกัน ทั้งยังได้เห็นชอบให้มีการออกระเบียบสำนักงาน สกสค.ว่าด้วยการมอบอำนาจของเลขาธิการ สกสค.ให้กับผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. เพื่อให้มีอำนาจลงนามธุรกรรมทางการเงินและการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องคดีความ
ในส่วนของข้อบังคับต่างๆ ได้มอบให้สำนักงาน สกสค. ศึกษาและตรวจสอบในรายละเอียดของข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการว่า ควรจะต้องมีการแก้ไขปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกหรือไม่ อย่างไร และนำกลับมาเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในครั้งต่อไป
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค. : ให้จัดทำแผนฟื้นฟูองค์กร
ที่ประชุมรับทราบนายสุเทพ ชิตยวงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. ได้รายงานสรุปปัญหา ข้อขัดข้อง ตลอดจนข้อมูลการดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีภาวะการขาดทุนสะสมมากถึง 4,200 ล้านบาท เกิดจากหนี้ในหลายทาง อาทิ เป็นลูกหนี้ของพนักงานในองค์กรเอง จากการที่ขึ้นเงินเดือนพนักงาน แต่ไม่ได้จ่ายเงินให้ เป็นหนี้ค้างกับหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้มอบให้ผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. จัดทำแผนฟื้นฟูองค์กร เพื่อให้องค์กรกลับมาดำรงสภาพอยู่ได้ ซึ่งที่ประชุมเสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน โดยเชิญผู้มีความรู้/ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานราชการและภาคเอกชนมาเข้าร่วม เพื่อให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ และรายละเอียดการแก้ไขปัญหาในแต่ละเรื่อง เพื่อจัดทำเป็นแผนฟื้นฟูที่มีแนวทางและขั้นตอนอย่างชัดเจนในระยะ 1-3 ปีต่อจากนี้
นวรัตน์ รามสูต
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th