นายกรัฐมนตรี ประธานฯ แจ้งที่ประชุมรับทราบว่า การดูแลประชาชนถือเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ำ ให้ความเป็นธรรม จัดหาที่ดินทำกิน แต่ด้วยที่มีพื้นที่ที่จำกัดขณะที่จำนวนประชากรก็เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งสอดคล้องกับสถิติของสหประชาติ (UN) ที่ได้เคยรายงานคาดการณ์ว่าในอีก 50 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแหล่งน้ำและที่ดินทำกิน วันนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีการใช้นโยบายการจัดที่ดินแห่งชาติแบบใหม่ขึ้นมา โดยมุ่งเน้นให้ทุกคนมีพื้นที่ในการประกอบอาชีพ เกษตรกรรม กสิกรรม และเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมให้มากขึ้น รวมทั้งยกระดับรายได้ของประชาชนให้ดีขึ้น อย่าไรก็ตามยังมีกฎหมายเดิมอยู่หลายฉบับ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญจะดำเนินการในเรื่องใดต้องคำนึกถึงความพึงพอใจของประชาชน และหาแนวทางในการดูแลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้มากขึ้น เช่น เรื่องการประเมินค่าหรือประมูลราคาทรัพย์สิน หรือสินทรัพย์ ในการที่จะดำเนินการกู้ยืมเงินเรื่องนี้จะต้องมีการพิจารณาหาแนวทางในการดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ที่ประชุมเห็นชอบพิจารณาลดหย่อนค่าธรรมเนียมการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในป่าสงวนแห่งชาติ ป่าขุนแม่ทา ท้องที่ตำบลแม่ทา อำเภแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล เนื้อที่ประมาณ 7,282 ไร่ 1 งาน 23 ตารางวา ตามที่จังหวัดเชียงใหม่ขอให้มีการการลดหย่อนลงครึ่งหนึ่งให้เหลืออัตราค่าธรรมเนียมการอนุญาต ไร่ละ 25 บาท จากปกติจัดเก็บในอัตราไร่ละ 50 บาท ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนับสนุและสร้างแรงจูงใจในการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติภายใต้โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมการอนุญาตฯ ดังกล่าวเป็นรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา ตามมาตรา 77แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่3) พ.ศ.2542 รวมทั้งให้ผู้ได้รับอนุญาต (ผู้ว่าราชการจังหวัด) ออกข้อกำหนดการอนุญาตให้ชุมชนเข้าทำประโยชน์หรืออาศัยในลักษณะแปลงรวม ทั้งนี้ข้อกำหนดดังกล่าว ต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดการอนุญาตที่หน่วยงานดูแลรับผิดชอบพื้นที่ (กรมป่าไม้)กำหนด และที่ดินที่มาขอใช้ประโยชน์พื้นที่กรมป่าไม้จะเป็นการดำเนินการให้เฉพาะโครงการของ คทช. เท่านั้น ส่วนที่ดินที่มาขอให้ประโยชน์ฯ นอกโครงการ คทช. จะไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าว และให้ดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการอนุญาตฯ ในอัตราเดิมคือ ไร่ละ 50 บาท
พร้อมทั้งที่ประชุมฯ ได้พิจารณาในเรื่องค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนภายหลังที่ได้มีการใช้ประโยชน์แล้วของท้องที่ตำบลแม่ทา จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินการ คือมอบหมายให้กรมป่าไม้จัดหาเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ที่สมเหมาะและสอดคล้องกับแต่ละพื้นที่สนับสนุนให้กับประชาชนที่มาขอใช้ประโยชน์ โดยให้ประชาชนสร้างจัดทำแปลงเพาะชำ หรือเพาะปลูกและดูแลรักษาด้วยตนเอง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของกรมป่าไม้คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างให้ชุมชนเข้มแข็งและมีรายได้ สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
อีกทั้งที่ประชุม ได้พิจารณาค่าธรรมเนียมการอนุญาตปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และค่าตอบแทนในการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน ขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทาซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตเข้าทำการปลูกสร้างสวนป่าหรือปลูกไม้ยืนต้นในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยรัฐบาลได้พยายามที่จะมีการจัดป่าเศรษฐกิจชุมชนให้กับประชาชนที่ขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้มีป่าเศรษฐกิจไว้ใช้ปลูกไม้โตเร็วและสามารถนำไม้มาใช้ประโยชน์ในชุมชน อย่างไรก็ตามแม้จะให้ประชาชนใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าเศรษฐกิจได้ แต่พื้นที่ดังกล่าวก็ยังเป็นของรัฐทั้งหมด ทั้งนี้การใช้ประโยชน์จากป่าเศรษฐกิจชุมชนของโครงการ คทช. นั้น ผู้ที่มาใช้ประโยชน์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมอัตราไร่ละ 10 บาท โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวก็จะกลับคืนสู่องค์กรปกครองท้องถิ่นเช่นเดิม ส่วนการเก็บค่าตอบแทนในการปลูกป่าเต็มจำนวน ไร่ละ 100 บาทต่อปี นั้น กรณีขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา รัฐได้ให้เข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ 30 ปี โดยใน 5 ปีแรกจะจัดเก็บค่าตอบแทนครึ่งหนึ่ง คือ ไร่ละ 50 บาท และจัดเก็บค่าตอบแทนอัตรา ไร่ละ 100 บาท ในปีที่ 6-15 ซึ่งประชาชนที่มาขอใช้ประโยชน์ก็พร้อมยอมรับที่จะจ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th