นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญตามกติกาของสหประชาชาติกำหนดไว้คือ การอพยพคนไปอยู่ที่ใดนั้นขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้อพยพ ซึ่งปัจจุบันผู้อพยพยังไม่สมัครใจจะเดินทางไปที่ใดจึงกลายเป็นปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้อพยพออกไปจากประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณและอาชีพให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ให้มีอาชีพเวลากลับประเทศจะได้ประกอบอาชีพได้
สำหรับกรณีชาวโรฮิงญาถือเป็นหน้าที่ของทุกประเทศในการดูแลมนุษยชาติ เพราะการช่วยเหลือชีวิตคนเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ต้องกำหนดหลักการช่วยเหลือให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งการดูแลรักษาพยาบาล และการอำนวยความสะดวกเดินทางไปประเทศปลายทาง ในกรณีผู้ป่วยอาการสาหัสต้องนำขึ้นฝั่งประเทศไทยเพื่อดูแลรักษาตามหลักมนุษยธรรม แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายไทยให้อยู่ในพื้นที่ควบคุม และดำเนินการตามกฎหมาย ก่อนส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางหรือประเทศที่มีความประสงค์จะเดินทางไปตามหลักความสมัครใจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่าไม่มีศูนย์พักพิงสำหรับชาวโรฮิงญาในประเทศไทย กรณีเรื่องงบประมาณในการช่วยเหลือ และการดำเนินการต่าง ๆ ทางสหประชาชาติต้องเข้ามาดูแลให้การช่วยเหลือตั้งแต่ประเทศต้นทาง กลางทาง และประเทศปลายทาง ซึ่งจะต้องนำเสนอให้สหประชาชาติพิจารณาต่อไป สำหรับองค์กร มูลนิธิ สมาคมต่าง ๆ ที่คุ้มครองและเกี่ยวข้องกับผู้อพยพต้องไปดูว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทยหรือไม่ ถ้าตั้งขึ้นมาถูกต้องตามหลักกฎหมายก็สามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ถ้าตั้งขึ้นมาแบบไม่ถูกต้องจะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th