'รัฐมนตรีแรงงาน' เผย กรณี สรส.ยื่นหนังสือขอขึ้นค่าจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจ 4 %ตามข้าราชการ มีขั้นตอน มีหลายองค์ประกอบพิจารณา คำนึงถึงผลประกอบการ ความก้าวหน้าในการทำงาน ผลตอบแทนที่ประชาชนได้รับ ย้ำ ก.แรงงาน เป็นประตูแรก เวทีแรกรับเรื่อง แต่ไม่ได้กำหนดขึ้นได้ ไม่ได้ ใช้เหตุผลกลั่นกรองก่อนสรุปหารือกระทรวงการคลัง เชื่อ ถ้าลูกจ้าง นายจ้างเห็นอกเห็นใจกัน ทำงานแบบหุ้นส่วนมากกว่าผู้ขัดแย้งประเทศเจริญได้
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่มีตัวแทนสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มายื่นหนังสือต่อกระทรวงแรงงาน ให้พิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ให้มีการปรับเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกตำแหน่งจำนวน 1 ขั้น หรือเพิ่มเงินเดือน 4 % เพื่อความเท่าเทียมกันกับข้าราชการ และขอให้แก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติของการปรับโครงสร้างเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 3 ก.พ.58 นั้น ว่า ได้รับหนังสือที่มายื่นแล้วและให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาดูว่ามีเหตุผลและขั้นตอนอย่างไร ส่วนความเป็นไปได้นั้นต้องดูจากพื้นฐานของขั้นตอนต่างๆ ทั้งนี้เมื่อปรับโครงสร้างเงินเดือนเสร็จแล้ว แต่ละรัฐวิสาหกิจต้องไปปรับในส่วนของตนเอง เนื่องจากแต่ละรัฐวิสาหกิจมีผลกำไร มีโบนัสอยู่แล้ว แต่ก็ต้องดูผลประกอบการของแต่ละรัฐวิสาหกิจด้วยว่า เมื่อมีโครงสร้างเงินเดือนออกมาแบบนี้แล้ว เขามีความเหมาะสมจะปรับอย่างไร เนื่องจากเขามีอำนาจบริหาร ซึ่งผู้บริหารองค์กรแต่ละรัฐวิสาหกิจเองก็รู้ว่าพนักงานแต่ละคนเป็นอย่างไร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสามารถในการจ่ายเงินอยู่ที่รัฐวิสาหกิจด้วย หากการทำงานไม่มีความก้าวหน้าการเรียกร้องขึ้นเงินเดือนก็จะไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันบางรัฐวิสาหกิจมีความก้าวหน้า บางแห่งไม่มีกำไรแต่ประชาชนมีความสุขก็ต้องเพิ่มเงินให้เขา เพราะว่าเป็นรัฐวิสาหกิจที่ทำงานตอบแทนผลประโยชน์แก่ประชาชน ซึ่งไม่ได้มองที่ผลกำไรมากมายนักจึงจำเป็นต้องดู องค์ประกอบหลายอย่างส่วนการปรับโครงสร้างเงินเดือนลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่เสนอมานั้น ไม่กังวลเรื่องภาวการณ์คลัง เมื่อเสนอมาก็ต้องมีการกลั่นกรองด้วยเหตุผลส่วนจะขึ้นได้ ไม่ได้ก็ต้องอยู่ที่รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง โดยจะมีคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เป็นช่องทางรับเรื่องจากรัฐวิสาหกิจว่าต้องการอะไร แต่ไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่ได้ ซึ่งกระทรวงแรงงานจะเป็นประตูแรกที่จะรับเรื่องและเปิดเวทีแรกในการประชุมกลั่นกรองด้วยเหตุผล ก่อนที่จะหารือกับกระทรวงการคลัง และเสนอซุปเปอร์บอร์ดฯ ต่อไป
“ฉะนั้นประเทศไทยจะเจริญได้ต้องเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ลูกจ้าง นายจ้างทำงานร่วมกันแบบเป็นหุ้นส่วนมากกว่าเป็นผู้ขัดแย้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวังวนเก่าๆ ได้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
วันเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้นายพีรพัฒน์ พรศิริเลิศกิจ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นผู้รับหนังสือร้องเรียนจากนายมานพ เกื้อรัตน์ ผู้แทนสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ที่ชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน
กลุ่มงานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
ที่มา: http://www.thaigov.go.th