พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีหญิงสาว อายุ ๑๖ ปี เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ถูกพระภิกษุ ข่มขืนกระทำชำเรา นานกว่า ๓ ปี โดยหลอกให้ไปหาในกุฏิ อ้างจะช่วยเหลือเรื่องเรียน ก่อนบังคับขืนใจพร้อมถ่ายภาพเอาไว้ข่มขู่ แต่คดีความไม่คืบหน้า ซ้ำถูกลูกชายพระยิงปืนข่มขู่ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าจับกุมพ่อเลี้ยงหื่น อายุ ๓๔ ปี ข่มขืนกระทำชำเรา ลูกเลี้ยงสาว อายุ ๑๖ ปี นาน ๓ ปี จนตั้งครรภ์ ๖ เดือน ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช (พมจ.นครศรีธรรมราช) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจกระทรวงฯ พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กสาวและครอบครัวโดยด่วน
พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า กรณีสองชายชรา อายุ ๘๓ ปี และ ๗๐ ปี และหญิงชรา อายุ ๗๓ ปี อาศัยรวมกันในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งชายชรา พิการตาบอด และหญิงชรา พิการเดินไม่ได้ ทั้งหมดอาศัยข้าวก้นบาตรที่วัดประทังชีวิต ที่จังหวัดนครราชสีมา ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครราชสีมา (พมจ.นครราชสีมา)ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจกระทรวงฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และประสานเรื่องการซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้พิการต่อไป
"สำหรับกรณีที่ครอบครัวเด็กพิการ ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนให้รัฐบาลทำตามสัญญา เรื่องการจ่ายเบี้ย คนพิการ ที่จากเดิม ๕๐๐ บาท/เดือน เพิ่มเป็น ๘๐๐ บาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับเพิ่มตามที่รัฐแจ้ง ตนขอเน้นย้ำว่าผู้พิการต้องได้รับเงินส่วนนี้อย่างแน่นอน จะมีการเบิกจ่ายย้อนหลังให้ หากผู้พิการคนใดยังไม่ได้รับเบี้ยเพิ่มเป็น ๘๐๐ บาท/เดือน สามารถโทรศัพท์มาแจ้งได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม OSCC โทร ๑๓๐๐ ตลอด ๒๔ ชม.”พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวท้าย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th