ในเวลา 09.10 น. นายกรัฐมนตรีและภริยาพร้อมด้วยคณะ เข้าร่วมพิธีตั้งชื่อกล้วยไม้ (พันธุ์ Dendrobium ชื่อ Dendrobium Prayut Naraporn Chan-o-cha) ณ อุทยานสวนกล้วยไม้แห่งชาติ สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปพบนักกีฬาไทย และร่วมชมการแข่งขันกีฬาเซปักตะกร้อชายรอบชิงชนะเลิศ ณ อาคาร Singapore Expo
จากนั้นเวลา 12.30 น. นายกรัฐมนตรีร่วมหารือระหว่างอาหารกลางวัน (Lunch Meeting) กับนักธุรกิจชั้นนำสิงคโปร์ พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการสนทนา ดังนี้
นักธุรกิจชั้นนำที่เข้าร่วม ได้แก่ ผู้บริหารบริษัทในเครือ Singapore Technologies (ST) ผู้บริหารบริษัทจากธุรกิจสาขาโทรคมนาคมและไปรษณีย์ ไอที ซอฟแวร์ อิเล็กทรอนิกส์ สาธารณูปโภคพื้นฐานและก่อสร้าง โลจิสติกส์ ภาคการผลิต ภาคการเงิน โรงแรมและการท่องเที่ยว และสมาคมธุรกิจ รวมกว่า 20 คน
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบกับนักธุรกิจชั้นนำของสิงคโปร์ โดยเมื่อวานได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และได้ย้ำถึงความตั้งใจของไทยที่จะส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางความสัมพันธ์กับสิงคโปร์รอบด้าน รวมถึงการค้าการลงทุน โดยไทยพร้อมอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการลงทุน สำหรับการฟื้นฟูการท่องเที่ยวผ่านเรือครูซและเรือยอชท์นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาแจ้งว่าจะเปิดจุดจอดเรือสำราญที่ภูเก็ตปีนี้
ที่ผ่านมา ไทยเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งสถานการณ์การเมือง เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ แต่ก็สามารถก้าวข้ามมาได้ด้วยดี เนื่องจากมีพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง การเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นจุดเชื่อมโยงทางบก ทะเล และอากาศระหว่างอาเซียนและจีน รวมทั้งมีรากฐานทางสังคมที่ยอมรับความแตกต่างทงเชื้อชาติและศาสนา และมีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติและความมั่นคงทางอาหาร
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณภาคเอกชนสิงคโปร์ที่เชื่อมั่นในพื้นฐานและศักยภาพทางเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน คู่ค้าอันดับ 2 ของไทยในอาเซียน และอันดับ 5 ของโลก และในขณะนี้ไทยกลับสู่เสถียรภาพแล้ว และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไปข้างหน้า รวมถึงการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รัฐบาลกำลังดำเนินการตามโรดแมประยะที่ 2 เข้าสู่การปฏิรูปประเทศ โดยเน้นใน 10 ด้านหลัก และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า เศรษฐกิจโดยรวมในปี 2558 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 3.9 โดยไทยกำลังขับเคลื่อนนโยบายเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน และเดินเคียงข้างสิงคโปร์และประเทศอื่นๆในภูมิภาค นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ ระยะ 7 ปี (ค.ศ. 2015-2021) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงมาตรการส่งเสริมการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมั่นในด้านการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสู่ความเป็นสากล
ไทยและสิงคโปร์กำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมทางเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองประเทศควรร่วมมือกันเร่งรัดการรวมตัว ซึ่งจะช่วยดึงดูดการค้าการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการดำเนินการตามมาตรการที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนนักธุรกิจสิงคโปร์ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาและลงทุนในประเทศไทย โดยเห็นว่า ไทยยังมีศักยภาพ และเป็นแหล่งโอกาสในการดำเนินธุรกิจของสิงคโปร์ เพื่อสร้างความเจริญอย่างมั่งคั่งร่วมกันทั้งไทย สิงคโปร์ และอาเซียนในภาพรวม ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการค้า และการลงทุนของสิงคโปร์ในไทยต่อไป
ภายหลังเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยี่ยมชม Marina Bay Cruise Centre ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทยจากท่าอากาศยานชางงี โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ ถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) ในเวลา 17.20 น. วันเดียวกัน
กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ / สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th