วันนี้ (9 มิถุนายน 2558) ที่กระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สมศักดิ์ ชุณรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาค่ารักษาพยาบาลราคาแพงของโรงพยาบาลเอกชน ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 814 /2558 แต่งตั้งเมื่อ วันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และคณะกรรมการดำเนินงาน ได้เสนอผลสรุปใน 3 เรื่องได้แก่ การคิดราคาค่ายา การรักษาผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน และระบบการตรวจสอบอัตราค่ารักษาพยาบาล และการให้ข้อมูลประชาชน
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะกล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเรื่องนี้ มีนโยบายสนับสนุนกลไกการตลาดการค้าเสรีแก่ภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง และมีความห่วงหากราคาบริการของโรงพยาบาลเอกชนแพงเกินไป จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง รวมทั้งให้ความสำคัญการดูแลผู้ป่วยวิกฤติ
สำหรับเรื่อง ราคาค่ายา ที่ประชุมได้มีมติให้กำหนดอัตราเรียกเก็บที่เกี่ยวกับยา 2 รายการ คือ 1.ราคายาให้จำหน่ายได้ไม่เกินราคาที่ติดมาจากโรงงานผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายราคาเดียวกันทั่วประเทศ เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ของกระทรวงพาณิชย์ 2.ค่าบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับยา ซึ่งโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีต้นทุนแตกต่างกัน เช่น การเตรียมยาเคมีบำบัด การเตรียมสารละลายหรือสารอาหารที่ให้ทางหลอดเลือดดำ การให้คำปรึกษาด้านยาในผู้ป่วยเฉพาะราย การให้การบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยใน การเพิ่มระบบงานในการเพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยด้านยาแก่ผู้ป่วย เป็นต้น และได้เพิ่มทางเลือกแก่ประชาชน หากเห็นว่ายาในโรงพยาบาลมีราคาสูง สามารถนำใบสั่งยาไปซื้อที่ร้านขายยาได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับสภาเภสัชกรรมดูแลมาตรฐานร้านขายยาทั่วประเทศ มีเภสัชกรเป็นผู้ควบคุมและจ่ายยา ทางกระทรวงสาธารณสุขจะส่งเรื่องการกำหนดราคายา ให้คณะกรรมการว่าด้วยสินค้าและบริการของกระทรวงพาณิชย์เพื่อออกประกาศใช้โดยเร็ว และให้เวลาผู้ผลิตหรือจำหน่ายยา ร้านยา โรงพยาบาลเอกชน พัฒนาความพร้อมเพื่อรองรับระบบใหม่โดยเร็วที่สุด
ประเด็นที่ 2 คือระบบการบริการการแพทย์ฉุกเฉินวิกฤตที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ที่ประชุมได้มีมติให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน บริหารจัดการระบบใน 5 แนวทาง ดังนี้ 1.มีระบบพิสูจน์และรับรองผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินจากโรงพยาบาลเอกชน ไม่เกิน 15 นาที 2.ปรับปรุงกลไกการจ่ายเงินค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงแรก
ให้สมเหตุสมผล 3.พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่พ้นภาวะวิกฤตหลังจาก 72 ชั่วโมงแรกกลับโรงพยาบาลต้นสังกัด 4.กรณีผู้ป่วยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ให้เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจาก พ.ร.บ.นี้ก่อน และ 5.กรณีมีประกันสุขภาพเอกชน ให้เป็นทางเลือกว่าจะใช้ระบบประกันสุขภาพเอกชนก่อน หรือเรียกเก็บจากระบบการแพทย์ฉุกเฉิน คาดว่าจะใช้เวลาปรับระบบประมาณ 2 เดือน เพื่อให้ระบบมีความสมบูรณ์ขึ้น ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงิน
ส่วนระบบการตรวจสอบอัตราค่ารักษาพยาบาล และการให้ข้อมูลประชาชนนั้น ที่ประชุมให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จัดทำเว็บไซต์รวบรวมอัตราค่ารักษาพยาบาลในโรคที่ต้องมีการนัดผ่าตัดล่วงหน้า จำนวน 77 รายการ ที่ได้จากโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง เช่นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ผ่าตัดตาต้อกระจก เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบราคา ทราบข้อมูลล่วงหน้าก่อนไปรับบริการ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในอีก 1 เดือน โดยได้แจ้งให้โรงพยาบาลเอกชนติดป้ายให้ประชาชนสอบถามราคาค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และได้เปิดสายด่วนรับแจ้งปัญหาการรักษาพยาบาลทางหมายเลข 02 1937999 และสายด่วน 1330 ตลอด 24 ชั่วโมง และสายด่วนคุ้มครองผู้บริโภค 1166 ในเวลาราชการ
9 มิถุนายน 2558
ที่มา: http://www.thaigov.go.th