ดร.พิเชฐ กล่าวว่า หลักการปฏิรูปวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของประเทศไทย โดยการเปลี่ยนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมมุ่งสู่การเป็นประเทศรายได้สูงและประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2569 และการปฏิรูป บุคลากร ด้าน วทน. ผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมและนวัตกร โครงการขนาดใหญ่และระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์สำหรับอนาคต โครงสร้างพื้นฐาน วทน. ระดับสากล โดยใช้กลไกลการขับเคลื่อนและผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ การร่วมมือระหว่าง ภาครัฐและภาคเอกชน ความร่วมมือระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง (อาทิ วท. มท. พณ. กค. กษ. ศธ. กต.) ระบบแรงจูงใจด้านการเงินและภาษี การปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบ ความร่วมมือกับต่างประเทศ
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมกับกระทรวงและกรมต่างๆจำนวนมาก เพื่อลงทุนด้านการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงระบบรางที่ปัจจุบันมีสถาบันอุดมศึกษาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากขึ้น และมีความต้องการในส่วนของกำลังคนอยู่ที่ 24,000 คน ในระดับต่างๆ ที่สำคัญควรเตรียมความพร้อมในด้านกำลังคน ด้าน วทน. ให้พร้อมต่อการรองรับงาน ด้าน วทน. ที่จะมีมากขึ้นในอนาคต และเป้าหมายในการทำงานด้าน วทน. มีอยู่ 3 ข้อที่จะช่วยในการพัฒนาประเทศ คือ 1.ประเทศไทยต้องหนีจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. ลดความเหลื่อมล้ำ ให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขโดยการลดความขัดแย้งในการแบ่งชนชั้น 3. Green Society โดยทั้ง 3 เป้าหมายนี้มีความสอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่จะพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง และทำให้ประชาชนมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มอบหมายที่ปรึกษาด้าน วทน. พัฒนาจังหวัดและนำเสนอข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาจังหวัดด้วย วทน. ต่อ PCSO และหน่วยงานในจังหวัด โดยแต่งตั้งที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ประจำจังหวัด หรือ PSA (Provincial Science Advisor) โดยมอบหมายหน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และเครือข่ายในพื้นที่สนับสนุนงานด้าน วทน. ของจังหวัดโดยเฉพาะศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ประจำภูมิภาคทั้ง 4 ภาค ที่เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงาน ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายมีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมาก
นโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม มีดังนี้
1. สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่าย R&D ไปสู่ 1% ของ GDP โดยมีสัดส่วนการลงทุน เอกชน:รัฐ 70:30
ขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีวิจัยและนวัตกรรม 300%
เพื่อส่งเสริมการลงทุนวิจัยและพัฒนา 1% ของ GDP
การลงทุนภาคเอกชน : รัฐ 70: 30
2.ส่งเสริมให้การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมไทย พัฒนานโยบายจัดซื้อจัดจ้างเพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในประเทศ
จัดทำบัญชีนวัตกรรมของไทย
การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐจะพิจารณาสินค้าและบริการในบัญชีนวัตกรรมไทย
ปัจจุบันมีนวัตกรรมในบัญชีมากกว่า 850 รายการ
www.innovation.go.th
3.สร้างสังคมนวัตกรรม ส่งเสริมการศึกษา STEM ผลิตกำลังคนสาขาขาดแคลน และให้บุคลากรวิจัยภาครัฐสามารถทำงานในภาคเอกชน (Talent Mobility)
ส่งนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยภาครัฐไปช่วยภาคเอกชนทำวิจัยและนวัตกรรม โดย
- สามารถนับผลงานเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
- สามารถนับอายุราชการ
- สามารถนับเวลาชดใช้ทุน
จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก Talent Mobility ทุกภูมิภาค 4 แห่ง
เป้าหมายเพิ่มบุคลากรวิจัยของประเทศ 15 คนต่อประชากร 10,000 คน
4.ปฏิรูปสิ่งจูงใจ กฎหมาย กฎระเบียบ ผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
- กฏหมายส่งเสริมการสร้างสรรค์และการใช้ประโยชน์นวัตกรรม
- กฎหมายส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม (ส่งต่อ IP จากหน่วยงานให้ทุนของรัฐไปยังผู้รับทุน)
- กฎหมายสนับสนุน SMEs พัฒนาต่อยอดงานวิจัย
- กฎหมายส่งเสริมการลงทุนใน start-up
5.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ที่เกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา นักวิจัย สิทธิบัตรด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมขององค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน คือ การเข้าถึงข้อมูลและการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างแท้จริง โดยที่ผ่านมาข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวยังกระจายอยู่ตามแหล่งต่างๆ ขาดการรวบรวมฐานข้อมูลทั้งด้านบุคลากร นักวิชาการ นักวิจัย เครื่องมือและห้องปฏิบัติการแบบครบวงจรไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน ดังนั้น การที่จะยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศให้มีอันดับที่สูงขึ้นได้ จึงต้องสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวอย่างเต็มประสิทธิภาพและเต็มสมรรถนะ โดยภาครัฐยังคงเป็นเจ้าของและให้ภาคเอกชนมาร่วมใช้งานได้
ดร.พิเชฐ ได้กล่าวอีกว่า การทูตวิทยาศาสตร์ (Science Diplomacy) คือการบูรณาการการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ในส่วนที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ โดยเฉพาะในมิติการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูป วทน. และยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย
ทั้งนี้ หลังจากการบรรยายในที่ประชุมดังกล่าว ได้มีการกล่าวชื่นชมรัฐบาลที่ได้ดำเนินการสร้างผลงานจำนวนมาก ในระยะเวลา 7-8 เดือน นับได้ว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับวงการด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัย รวมถึงการความร่วมมือในหน่วยงานภาครัฐ เชื่อมไปยังภาคเอกชน เพื่อการใช้ประโยชน์เชิงพานิชย์ของผลงานวิจัยและพัฒนา
ข่าวโดย : นางสาวชลธิชา แสงเทียนสุวรรณ
ถ่ายภาพและวีดิโอ : นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์ , นางสาวสุนิสา ภาคเพียร นาวงษ์
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3727 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
e-mail :
pr@most.go.th
Facebook : sciencethailand
ที่มา: http://www.thaigov.go.th