พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เห็นชอบในหลักการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เสนอ เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน ลดความเหลื่อมล้ำรวมทั้งคุ้มครองเด็กแรกเกิด และเด็กปฐมวัยให้ได้รับการดูแลและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยควรพิจารณาให้เฉพาะผู้ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม และในกรณีที่มีการใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ นำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการโครงการฯ โดยได้กำหนดเป้าหมายที่จะจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่เด็กแรกเกิด – ๑ ปี มีสัญชาติไทย อยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน จำนวน ๑๓๕,๗๖๘ คน รายละ ๔๐๐ บาทต่อคน ต่อเดือน เป็นเวลา ๑ ปี วงเงินทั้งสิ้น ๖๕๗,๖๘๖,๔๐๐ บาท โดยจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบในหลักเกณฑ์ขั้นตอนการดำเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ดังนี้ ๑) คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย ต้องเป็นเด็กที่เกิดระหว่าง ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘
ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ อยู่ในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน รายได้ต่ำกว่า ๓,๐๐๐ บาท ต่อเดือน และมีภาระพึ่งพิง เช่น ในครอบครัวมีคนพิการ หรือผู้สูงอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป มีบ้านสภาพทรุดโทรม หรือทำจากวัสดุเหลือใช้ อยู่บ้านเช่า ไม่มีห้องส้วม ไม่มีรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่มีเตาไมโครเวฟ ฯลฯ ๒) สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ถึง เดือนมีนาคม ๒๕๕๙
“เนื่องจากยังมีเด็กไทยจำนวนมากที่ขาดสารไอโอดีนส่งผลต่อการพัฒนาการของเด็ก ที่ประชุมจึงได้พิจารณาการพัฒนาระบบเกลือเสริมไอโอดีนที่มีประสิทธิภาพ โดยการผลิต การกระจาย และการบริโภค ต้องอาศัยความร่วมมือจากกระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดระบบเกลือเสริมไอโอดีนที่ต่อเนื่อง เป็นหลักประกันได้ว่าประชาชนไทยทุกคน จะได้รับสารไอโอดีนเพียงพอในแต่ละวัน และสามารถขจัดโรคขาดสารไอโอดีนให้หมดไปจากประเทศไทยอย่างยั่งยืน และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เรื่องระบบเกลือเสริมไอโอดีน ทั้งนี้ จะต้องนำไปเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวท้าย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th