ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณเอกอัครราชทูตเยอรมนีที่มีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนีให้แน่นแฟ้นและใกล้ชิด ซึ่งทั้งสองประเทศมีพัฒนาการในทางที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตเยอรมนีช่วยสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในสาขาต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมมาโดยตลอด โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนของบริษัทเยอรมนีในไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเยอรมนีเป็นมิตรประเทศสำคัญของไทยในสหภาพยุโรป มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา (R&D )และอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนีในสาขาเหล่านี้ได้ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยและเพิ่มโอกาสในการทำงานให้แก่คนไทย นายกรัฐมนตรีหวังว่า เอกอัครราชทูตเยอรมนีจะยังคงเป็นมิตรที่ดีของประเทศไทยและช่วยสนับสนุนความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านอาชีวศึกษาและเศรษฐกิจ ตลอดจนส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป
เอกอัครราชทูตเยอรมนีแสดงความยินดีที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ที่ราบรื่นระหว่างไทยและเยอรมนีมาโดยตลอด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเยอรมนีให้ความสำคัญกับประเทศไทยอย่างยิ่ง และตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยก็ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นและรู้สึกประทับใจต่อประเทศไทยและคนไทย เอกอัครราชทูตเยอรมนีหวังว่าระหว่างไทยและเยอรมนีจะมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตเยอรมนีได้หารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองของไทย โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตเยอรมนีที่เข้าใจและติดตามพัฒนาการทางการเมืองของไทยมาโดยตลอด ขณะนี้หน่วยงานด้านการปฏิรูปและการบริหาร ได้ทำงานอย่างเต็มที่ตามกรอบการทำงานที่ได้รับมอบหมายภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราว โดยมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เน้นการทำงานที่โปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐบาลได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นตามกระบวนการปฏิรูป โดยรับฟังข้อเสนอแนะจากทั่วประเทศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมนีเกี่ยวกับประสบการณ์และประวัติศาสตร์ในการร่างรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลได้ดำเนินการตาม Roadmap เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งตามแนวทางประชาธิปไตย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยปัจจุบัน มีบริษัทเยอมรมนีกว่า 600 บริษัท ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ทั้งทางด้านรถยนต์ เครื่องจักร จึงอยากให้บริษัทเยอรมนีเข้ามาร่วมลงทุนกับบริษัทไทย เพื่อที่ไทยจะได้เรียนรู้เทคโนโลยี และนำมาพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้มีความก้าวหน้า ตลอดจนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนให้เยอรมนี เข้ามาลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการรถไฟ ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเยอรมนี
ในช่วงท้าย เอกอัครราชทูตเยอรมนี ขอบคุณที่ประเทศไทยได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และหวังว่าไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ อีกทั้ง ยืนยันที่จะสานต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้น มั่นคง และยั่งยืน
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีได้เสนอชื่อ นายเพเทอร์ พรือเกล (Peter Pr?gel) ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมการเมือง กำกับดูแลภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เป็นเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขอความเห็นชอบจากฝ่ายไทย ซึ่งหากฝ่ายไทยให้ความเห็นชอบ นายเพเทอร์ พรือเกล จะเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ในปลายเดือนสิงหาคม 2558
ที่มา: http://www.thaigov.go.th