รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เริ่มนำแผนปฏิบัติการเร่งรัดการส่งออก (Export Action Plan) ที่ตนได้มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าทีมจัดทำร่วมกับกรมต่าง ๆ มาดำเนินการแล้ว โดยงานแรกที่ต้องทำคือ การพบกับ CEO ของบริษัทที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่หรือมีศักยภาพในการขยายการส่งออก เพื่อหาทางสนับสนุนให้ขยายการส่งออกสินค้าเป้าหมายสำคัญของกระทรวง 4 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรมหนัก เกษตรและอาหาร ปิโตรเคมี และอัญมณีเครื่องประดับ รวมทั้งต้องการรับทราบด้วยตนเองถึงปัญหาอุปสรรคที่ผู้ส่งออกพบ เพื่อจะได้หาทางร่วมกันแก้ไขให้ได้โดยเร็วต่อไป โดยเป้าหมายใหญ่คือ ให้การส่งออกไทยขยายตัวตามที่ตั้งเป้าไว้ให้ได้มากที่สุด ภายในปลายปี 2558
สำหรับบริษัทที่ได้พบในวันนี้ประกอบด้วยบริษัทโตโยต้า บีเอ็มดับเบิลยู และมิตซูบิชิอิเล็กทริคส์ (เครื่องปรับอากาศ) และจะทยอยพบกับมิตซูบิชิมอเตอร์ส บริษัทรถยนต์อิซูซุ บริษัทโรห์ม (ROHM) ผู้ส่งออกแผงวงจรไฟฟ้า บริษัทเวสเทิร์นดิจิตัล บริษัท HGST ซึ่งเป็นสองบริษัทส่งออกฮาร์ทดิสก์ไดรฟ์ และบริษัทซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ สำหรับบริษัทอื่น ๆ
ในกลุ่มสินค้าเป้าหมายทั้งไทยและต่างชาติกำลังอยู่ระหว่างการนัดหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า การหารือในวันนี้เน้นเรื่องเป้าหมายในการส่งออกของกระทรวงและเอกชน แนวทางการเดินไปให้ถึงเป้าหมาย และสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ทำได้โดยเร็วเพื่อสนับสนุนการส่งออกในระยะสั้นและระยะยาว เช่น การสนับสนุนการขยายไปตลาดใหม่โดย สคร. หรือแก้ไขประเด็นอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน
โดยทั้งสามบริษัทแสดงความมั่นใจว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เช่น โตโยต้าที่เพิ่งเปลี่ยนรุ่นรถกระบะคาดว่าจะส่งออกได้อีกอย่างน้อย 230,000 คันภายในสิ้นปี หรือบีเอ๊มดับเบิลยูที่คาดว่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ของตนจะเพิ่มได้ 250% สำหรับบริษัทมิตซูบิชิอิเล็กทริกส์ที่ได้ลดประมาณการส่งออกลงมาที่ 3% จากเป้าหมาย 11%
ที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี ก็จะปรับเพิ่มเป้าขึ้นมาเพราะการส่งออกไปสหภาพยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างมากเพราะเกิดอากาศร้อน เป็นต้น
ส่วนประเด็นต่าง ๆ ที่หารือกันด้วย เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจจากภายนอก อัตราแลกเปลี่ยน สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน การเจรจา FTA กับประเทศต่าง ๆ เรื่อง GSP สหรัฐฯ และสหภาพฯ การลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบทั้งในไทยและในประเทศคู่ค้า เรื่องแรงงานและค่าแรง เป็นต้น ซึ่งตนได้เสนอให้มีการตั้งคณะทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อรวบรวมประเด็นปัญหาและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างรวดเร็ว โดยหากเป็นเรื่องที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากระดับนโยบายในรัฐบาล ก็จะให้อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศรวบรวมเรื่องและเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาตัดสินใจโดยเร็วต่อไป เพื่อให้การส่งออกเดินหน้าไปได้
พลเอกฉัตรชัยฯ กล่าวต่อไปว่า หลังจากการพบ CEO ในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้แล้ว กระทรวงจะมีอีกงานใหญ่ในประเทศไทยคือ การจัดงานเซาธ์เทิร์น เอ็กซ์โป (Southern Expo) ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีระหว่างวันที่ 23-28 กรกฎาคม ซึ่งจะมีผู้นำเข้าและผู้ค้าจากอินเดียและอาเซียนมาร่วมงานด้วยจำนวนมาก โดยสินค้าหลักคือ ยางและผลิตภัณฑ์ยางและสินค้าอื่น ๆ หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการของ Action Plan ในต่างประเทศคือ การพบกับผู้แทนรัฐบาลและผู้นำเข้าของประเทศต่าง ๆ ที่เป็นตลาดใหญ่หรือตลาดที่มีศักยภาพ โดยประเทศแรกคืออาฟริกาใต้ ซึ่งสินค้าเป้าหมายหลักคือข้าว อาหาร และคณะบางส่วนเดินทางต่อไปโมซัมบิกเพื่อดูเรื่องวัตถุดิบอัญมณีด้วย กำหนดเดินทางวันที่ 25-29 กรกฎาคม
พลเอกฉัตรชัยฯ กล่าวว่า ยังมั่นใจว่ากระทรวงพาณิชย์จะผลักดันให้ถึงที่สุดที่จะบรรลุเป้าหมาย โดยขณะนี้ได้สั่งให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงเร่งเครื่องเดินหน้าผลักดันการส่งออกเต็มที่ แต่ก็ต้องจับตามองความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกด้วย โดยเฉพาะเรื่องกรีซ ตลาดหุ้นจีน ตลอดจนราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนของไทยและของประเทศคู่ค้าที่ผลกระทบต่อการส่งออกของไทย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th