โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานฯ ว่า เดือนสิงหาคมเป็นเดือนมหามงคล เป็นเดือนพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประชาชนทุกคนได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองตลอดทั้งเดือนนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติคุณสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเสียสละกำลังพระวรกายมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความอยู่ดี กินดีของราษฎรมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญทรงริเริ่มให้มีการฟื้นฟูและพัฒนางานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทรงพระราชทานโครงการศิลปาชีพขึ้น ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศของแต่ละภูมิภาค ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทย และพัฒนาคุณภาพของงานฝีมือชิ้นเยี่ยมไว้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์โดยกลุ่มศิลปาชีพ มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยชัดเจน เพราะงานทุกชิ้นประดิษฐ์ด้วยมือ ถักร้อยด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการฟื้นฟูอนุรักษ์ ซึ่งมีความประณีต สวยงาม และคงทน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย โดยมีสินค้าที่น่าสนใจหลายประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์ เซรามิก ผลิตภัณฑ์เครื่องจักสาน ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ ผลิตภัณฑ์เครื่องเงิน-เครื่องทอง เป็นต้น ซึ่งสามารถต่อยอดให้เป็นสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ได้ และจะทำให้ผู้ประกอบการ OTOP มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการกระจายรายได้ในระดับครัวเรือนและระดับชุมชนอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ในโครงการของศิลปาชีพได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงเพื่อเป็นการเผยแพร่มรดกทางภูมิปัญญาไทยให้กับชาวต่างชาติได้รับรู้ถึงศักยภาพของคนไทยในการสร้างสรรค์งานด้านศิลปหัถตกรรมพื้นบ้านที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ตลอดจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยจะมีศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมสำหรับการขยายตลาดทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการดูแลลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมตามหลักการ ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีการส่งเสริมกิจกรรมที่จะเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการ OTOP มีรายได้เพิ่มขึ้น อันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้ขยายตัวอีกทางหนึ่ง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเนื้อหาของการแสดงโขนชุดพิเศษจองถนน ตอนยกรบสมานฉันท์ ของวิทยาลัยนาฎศิลป์ ว่า มีการสร้างถนนสองฝั่งขรุขระที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ความสามัคคีสมานฉันท์โดยเปรียบเทียบกับรัฐบาลขณะนี้ที่กำลังต้องการให้หนุมาน มาช่วยทำถนนเพื่อไปสู่ประชาธิปไตย เพราะขณะนี้ถนนที่จะมุ่งไปสู่ประชาธิปไตยยังขรุขระและมีสัตว์ร้าย มีเสือสิงห์มากมาย ขณะที่รัฐบาลเปรียบเหมือนหนุมานอยู่ตัวเดียว ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ ต่อให้มีหนุมาน หรือ มีหัวหน้าคณะรักษาความสงบ จำนวน 10 คน ก็ไม่สามารถเดินหน้าประเทศได้และประชาธิปไตยก็ไม่ต้องเร่งรีบให้เป็นไปตามโรดแมป
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่ครบรอบการก่อตั้ง 50 ปี ว่าเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดผ่านความยากลำบาก แต่สามารถเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกได้ เมื่อเปรียบกับประเทศไทยที่มีพร้อมทุกอย่างแต่กลับสร้างความขัดแย้ง ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องช่วยกันฝ่าวิกฤติ โดยเฉพาะความยากจนและความขัดแย้ง ที่จะต้องวางกฎกติกาและเศรษฐกิจแนวใหม่ เพื่อนำรายได้เข้าประเทศเหมือนกับที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านและยกระดับสินค้าเพิ่มมูลค่าให้เป็นที่รู้จัก และรัฐบาลได้นำสิ่งเหล่านี้มาสานต่อพร้อมพัฒนาเศรษฐกิจ สินค้าให้มีราคาสูงขึ้น ส่งเสริมการส่งออกร้อยละ 30 และให้ประชาชนมีกินมีใช้ ลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยอีกด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ?พระมารดาแห่งศาสตร์ศิลป์ แผ่นดินสยาม? นิทรรศการช่างสิบหมู่ การจัดแสดงและสาธิตจากวิทยาลัยในวัง ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพ กว่า 2,000 บูธ
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th