ทำเนียบรัฐบาล--14 ก.ย.--บิสนิวส์
วันนี้ (5 ส.ค. 41) เมื่อเวลา 08.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล คณะผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกอบด้วย นาย Anoop Singh รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียแปซิฟิค นาย Rangit Teja หัวหน้า ส่วนงานซึ่งรับผิดชอบประเทศไทย และนาย Reza Moghadam ผู้แทนสำนักงาน IMF ประจำประเทศไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสที่เดินทางมาหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยเกี่ยวกับการจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 5 ( The 5th Letter of Intent) สาระสำคัญของการสนทนา สรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ว่า นับตั้งแต่ที่รัฐบาลไทยได้ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF มาตั้งแต่หนังสือเจตจำนงฉบับที่ 1 จนถึงปัจจุบันนั้น ตัวเลขการประมาณการในเรื่องของความเจริญเติบโตได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งขณะนี้ การหดตัวทางเศรษฐกิจของไทยได้ลดต่ำลงไปมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ดังนั้น ในการเจรจาเพื่อการจัดทำหนังสือเจตจำนงฉบับที่ 5 นั้น รัฐบาลไทยคาดว่าจะจัดทำงบประมาณในปี 2542 แบบขาดดุลร้อยละ 3.5 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว ในการนี้นาย Anoop Singh ได้กล่าวว่า จากการหารือในชั้นนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ไม่ได้ขัดข้องที่รัฐบาลไทยจะจัดทำงบประมาณขาดดุลร้อยละ 3.5 อย่างไรก็ดี งบประมาณขาดดุลดังกล่าว ควรที่จะได้นำไปลงทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาทางสังคมให้มากขึ้น รวมถึงการลดผลกระทบจากปัญหาการว่างงาน พร้อมกันนี้ยังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า การประมาณการตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตของประเทศไทยและประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียต่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจากความคาดหมาย เนื่องมาจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ ไม่มีผู้ใดคาดว่าผลกระทบจากประเทศไทยจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ประการที่สอง เหตุการณ์ในอินโดนีเซียได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในภูมิภาคเอเชียโดยรวมต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น ความตื่นตระหนกครั้งที่สอง (second shock) ประการที่สามคือ ความตกต่ำทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดต่อภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ นาย Anoop Singh ยังได้กล่าวว่า ภารกิจที่มีความสำคัญสำหรับรัฐบาลไทยในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จะเป็นภารกิจที่มีความหมายและส่งผลต่อการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก และจะเป็นการตัดสินใจที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ โดยรัฐบาลควรที่จะกระทำเพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องเข้ามาแก้ไขใหม่อีก นั่นคือการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินของไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีภารกิจในเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงการเร่งรัดการเปิดตลาดการลงทุนจากต่างประเทศ (market opening) โดยแสดงความหวังด้วยว่า ในช่วงสองเดือนข้างหน้านี้ รัฐบาลจะสามารถทำความเข้าใจกับประชาชนและดำเนินการทางรัฐสภาเพื่อผ่านความเห็นชอบในกฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับ เช่น กฎหมายล้มละลาย กฎหมายบังคับคดี กฎหมายประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กฎหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ กระบวนการทางกฎหมายดังกล่าว หากรัฐบาลสามารถเร่งรัดให้สำเร็จได้โดยเร็วเท่าไหร่ ก็จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยเร็วเท่านั้น
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้ความเชื่อมั่นว่า เป็นหน้าที่และพันธกรณีของรัฐบาลที่จะต้องทำให้ได้และต้องทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้เข้าบริหารงานเพราะประชาชนให้ความร่วมมือและให้โอกาสเข้ามาทำงานดังนั้น สิ่งใดที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติมากที่สุด และเป็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวม รัฐบาลก็จะต้องทำโดยเฉพาะในเรื่องของการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินนั้น รัฐบาลได้ประกาศไปแล้วพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในการทำงานของกระทรวงการคลัง สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดต่อประเทศชาติ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลังเลใจ ไม่ว่าจะมีผลกระทบต่อบุคคลหรือเจ้าของธุรกิจใด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ในภาวะปัจจุบัน อาจมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและความคิดเห็นที่หลากหลายต่อแนวทางแก้ไขของรัฐบาล แต่ถือได้ว่าสิ่งนั้นเป็นไปตามวิถีทางประชาธิบไตยของไทย แต่สิ่งสำคัญที่สุด รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับประชาชน และทุกคนในสังคมต้องมีสติ โดยไม่คาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่จะต้องทำให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวอย่างมั่นคงในระยะยาวมากกว่า
ในตอนท้าย นาย Anoop Singh ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชียครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมกับได้ชื่นชมรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีว่า ท่ามกลางวิกฤตการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นผู้นำ (leadership) ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง และความมุ่งมั่นในการปฏิรูปต่างๆของไทยได้มีความก้าวหน้าไปอย่างมาก และเป็นบรรทัดฐานให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้ปฏิบัติตาม--จบ--
วันนี้ (5 ส.ค. 41) เมื่อเวลา 08.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล คณะผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกอบด้วย นาย Anoop Singh รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียแปซิฟิค นาย Rangit Teja หัวหน้า ส่วนงานซึ่งรับผิดชอบประเทศไทย และนาย Reza Moghadam ผู้แทนสำนักงาน IMF ประจำประเทศไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสที่เดินทางมาหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยเกี่ยวกับการจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 5 ( The 5th Letter of Intent) สาระสำคัญของการสนทนา สรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ว่า นับตั้งแต่ที่รัฐบาลไทยได้ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF มาตั้งแต่หนังสือเจตจำนงฉบับที่ 1 จนถึงปัจจุบันนั้น ตัวเลขการประมาณการในเรื่องของความเจริญเติบโตได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งขณะนี้ การหดตัวทางเศรษฐกิจของไทยได้ลดต่ำลงไปมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ดังนั้น ในการเจรจาเพื่อการจัดทำหนังสือเจตจำนงฉบับที่ 5 นั้น รัฐบาลไทยคาดว่าจะจัดทำงบประมาณในปี 2542 แบบขาดดุลร้อยละ 3.5 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว ในการนี้นาย Anoop Singh ได้กล่าวว่า จากการหารือในชั้นนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ไม่ได้ขัดข้องที่รัฐบาลไทยจะจัดทำงบประมาณขาดดุลร้อยละ 3.5 อย่างไรก็ดี งบประมาณขาดดุลดังกล่าว ควรที่จะได้นำไปลงทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาทางสังคมให้มากขึ้น รวมถึงการลดผลกระทบจากปัญหาการว่างงาน พร้อมกันนี้ยังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า การประมาณการตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตของประเทศไทยและประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียต่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจากความคาดหมาย เนื่องมาจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ ไม่มีผู้ใดคาดว่าผลกระทบจากประเทศไทยจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ประการที่สอง เหตุการณ์ในอินโดนีเซียได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในภูมิภาคเอเชียโดยรวมต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น ความตื่นตระหนกครั้งที่สอง (second shock) ประการที่สามคือ ความตกต่ำทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดต่อภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ นาย Anoop Singh ยังได้กล่าวว่า ภารกิจที่มีความสำคัญสำหรับรัฐบาลไทยในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จะเป็นภารกิจที่มีความหมายและส่งผลต่อการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก และจะเป็นการตัดสินใจที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ โดยรัฐบาลควรที่จะกระทำเพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องเข้ามาแก้ไขใหม่อีก นั่นคือการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินของไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีภารกิจในเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงการเร่งรัดการเปิดตลาดการลงทุนจากต่างประเทศ (market opening) โดยแสดงความหวังด้วยว่า ในช่วงสองเดือนข้างหน้านี้ รัฐบาลจะสามารถทำความเข้าใจกับประชาชนและดำเนินการทางรัฐสภาเพื่อผ่านความเห็นชอบในกฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับ เช่น กฎหมายล้มละลาย กฎหมายบังคับคดี กฎหมายประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กฎหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ กระบวนการทางกฎหมายดังกล่าว หากรัฐบาลสามารถเร่งรัดให้สำเร็จได้โดยเร็วเท่าไหร่ ก็จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยเร็วเท่านั้น
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้ความเชื่อมั่นว่า เป็นหน้าที่และพันธกรณีของรัฐบาลที่จะต้องทำให้ได้และต้องทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้เข้าบริหารงานเพราะประชาชนให้ความร่วมมือและให้โอกาสเข้ามาทำงานดังนั้น สิ่งใดที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติมากที่สุด และเป็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวม รัฐบาลก็จะต้องทำโดยเฉพาะในเรื่องของการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินนั้น รัฐบาลได้ประกาศไปแล้วพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในการทำงานของกระทรวงการคลัง สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดต่อประเทศชาติ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลังเลใจ ไม่ว่าจะมีผลกระทบต่อบุคคลหรือเจ้าของธุรกิจใด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ในภาวะปัจจุบัน อาจมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและความคิดเห็นที่หลากหลายต่อแนวทางแก้ไขของรัฐบาล แต่ถือได้ว่าสิ่งนั้นเป็นไปตามวิถีทางประชาธิบไตยของไทย แต่สิ่งสำคัญที่สุด รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับประชาชน และทุกคนในสังคมต้องมีสติ โดยไม่คาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่จะต้องทำให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวอย่างมั่นคงในระยะยาวมากกว่า
ในตอนท้าย นาย Anoop Singh ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชียครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมกับได้ชื่นชมรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีว่า ท่ามกลางวิกฤตการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นผู้นำ (leadership) ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง และความมุ่งมั่นในการปฏิรูปต่างๆของไทยได้มีความก้าวหน้าไปอย่างมาก และเป็นบรรทัดฐานให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้ปฏิบัติตาม--จบ--