หลักการ
1. เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบสถาบันการเงิน จำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์การฟื้นฟูสถาบันการเงินทั้ง 58 แห่ง ที่สามารถทำให้สถาบันการเงินใดที่รับอนุญาตให้เปิดดำเนินกิจการได้ นั้น มีเสถียรภาพในการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ ทางการมีนโยบายสนับสนุนให้มีการควบกิจการหรือรวมกิจการกัน เพื่อยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือเพื่อขอขยายขอบเขตธุรกิจเพิ่มเติมได้
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงิน
3. สร้างความมั่นใจแก่เจ้าหนี้การเงิน และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ว่าปัญหาของระบบสถาบันการเงินของไทยได้รับการแก้ไขด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเป็นสากล
4. จำกัดภาระของรัฐที่จะต้องเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินให้น้อยที่สุด
นโยบาย
1. สถาบันการเงินที่จะเปิดดำเนินกิจการอีก จะต้องดำเนินการเพิ่มทุนให้มีสัดส่วนกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพียงพอและปรับปรุงสมรรถนะการบริหารให้มีประสิทธิภาพ
2. จะอนุญาตให้ผู้ลงทุนชาวต่างประเทศเข้าร่วมลงทุนในสถาบันการเงินได้ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่
3. เพื่อให้สถาบันการเงินที่ได้รับการฟื้นฟูเปิดดำเนินกิจการได้เช่นปกติจะต้องมีการจัดทีมบริหารและมีแผนการดำเนินธุรกิจที่ดี พร้อมทั้งมีวงเงินเครดิตที่เพียงพอ
จากมาตรการหลักที่คณะกรรมการกำกับการควบหรือโอนกิจการของสถาบันการเงินซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินที่ประสงค์จะฟื้นฟูกิจการโดยการเพิ่มทุนโดยหาผู้ร่วมลงทุนใหม่ หรือโดยการควบหรือโอนกิจการกับสถาบันการเงิน ดำเนินการประเมินคุณภาพสินทรัพย์และหนี้สิน (Due Diligence) และจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการให้พิจารณาเพื่อนุมัตินั้นมีปัญหาทางด้านปฏิบัติหลายประการ และได้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างสถาบันการเงินกับคณะกรรมการกำกับฯตลอดมานั้น ผมใคร่ขอชี้แจงการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ซึ่งได้รับการปรับปรุงโดยคณะกรรมการกำกับฯ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการรํฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ดังนี้
1. การเพิ่มทุน บริษัทที่ยื่นการฟื้นฟูกิจการจะต้องมีเงินเพิ่มทุนมากพอ ตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.1 การเพิ่มทุนเอง หรือหาผู้ร่วมลงทุนใหม่หรือควบกิจการกันระหว่างบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ให้มีเงิน
กองทุนเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของสินทรัพย์เสี่ยง (เป็นเงินกองทุนขั้นที่หนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12)
ในปีแรกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12 ในปีที่สอง และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในปีที่ 3
1.2 กรณีการควบคุมกิจการโดยมีสถาบันการเงินอื่นเป็นแกน ให้มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไม่ต่ำกว่าร้อยละ
12 ตลอด 2 ปีแรก และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในปีที่ 3
1.3 เงินกองทุนหมายถึง เงินกองทุนหลังจากการควบรวมหรือโอนกิจการ เมื่อหักด้วยภาระผูกพันที่ต้องชำระ
เมื่อครบกำหนดและหักด้วยจำนวนที่ตั้งสำรองเผื่อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยแล้ว
2. การแปลงหนี้เป็นกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จะพิจารณาให้กองทุนฟื้นฟูฯ แปลงหนี้เป็นทุนได้หากได้มีการรับรู้ผลขาดทุนเดิมที่มีอยู่ให้เสร็จก่อน (Writedown) แต่ทั้งนี้การแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ของทุนที่ชำระแล้วของบริษัทได้3. ผลการสำรองหนี้สูญ ให้สามารถนำมาใช้หักภาษีได้4. การอนุญาตให้มีผู้ถือหุ้นต่างชาติ จะพิจารณาอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นได้เกินกว่าร้อยละ 50 เป็นเวลา 10 ปี โดยการเพิ่มทุนใด ๆ หลังจากนั้นจะต้องจำหน่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นไทยจนกระทั่งสัดส่วนถือหุ้นลดลงต่ำกว่าร้อยละ 505. การชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน บริษัทที่ยื่นเสนอแผนการฟื้นฟูกิจการสามารถขอขยายการชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูได้ไม่เกิน 8 ปี ในอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ที่กองทุนฟื้นฟูฯ กำหนด6. เกณฑ์ในการพิจารณาผู้บริหาร--จบ
1. เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบสถาบันการเงิน จำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์การฟื้นฟูสถาบันการเงินทั้ง 58 แห่ง ที่สามารถทำให้สถาบันการเงินใดที่รับอนุญาตให้เปิดดำเนินกิจการได้ นั้น มีเสถียรภาพในการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ ทางการมีนโยบายสนับสนุนให้มีการควบกิจการหรือรวมกิจการกัน เพื่อยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือเพื่อขอขยายขอบเขตธุรกิจเพิ่มเติมได้
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงิน
3. สร้างความมั่นใจแก่เจ้าหนี้การเงิน และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ว่าปัญหาของระบบสถาบันการเงินของไทยได้รับการแก้ไขด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเป็นสากล
4. จำกัดภาระของรัฐที่จะต้องเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินให้น้อยที่สุด
นโยบาย
1. สถาบันการเงินที่จะเปิดดำเนินกิจการอีก จะต้องดำเนินการเพิ่มทุนให้มีสัดส่วนกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพียงพอและปรับปรุงสมรรถนะการบริหารให้มีประสิทธิภาพ
2. จะอนุญาตให้ผู้ลงทุนชาวต่างประเทศเข้าร่วมลงทุนในสถาบันการเงินได้ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่
3. เพื่อให้สถาบันการเงินที่ได้รับการฟื้นฟูเปิดดำเนินกิจการได้เช่นปกติจะต้องมีการจัดทีมบริหารและมีแผนการดำเนินธุรกิจที่ดี พร้อมทั้งมีวงเงินเครดิตที่เพียงพอ
จากมาตรการหลักที่คณะกรรมการกำกับการควบหรือโอนกิจการของสถาบันการเงินซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินที่ประสงค์จะฟื้นฟูกิจการโดยการเพิ่มทุนโดยหาผู้ร่วมลงทุนใหม่ หรือโดยการควบหรือโอนกิจการกับสถาบันการเงิน ดำเนินการประเมินคุณภาพสินทรัพย์และหนี้สิน (Due Diligence) และจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการให้พิจารณาเพื่อนุมัตินั้นมีปัญหาทางด้านปฏิบัติหลายประการ และได้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างสถาบันการเงินกับคณะกรรมการกำกับฯตลอดมานั้น ผมใคร่ขอชี้แจงการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ซึ่งได้รับการปรับปรุงโดยคณะกรรมการกำกับฯ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการรํฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ดังนี้
1. การเพิ่มทุน บริษัทที่ยื่นการฟื้นฟูกิจการจะต้องมีเงินเพิ่มทุนมากพอ ตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.1 การเพิ่มทุนเอง หรือหาผู้ร่วมลงทุนใหม่หรือควบกิจการกันระหว่างบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ให้มีเงิน
กองทุนเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของสินทรัพย์เสี่ยง (เป็นเงินกองทุนขั้นที่หนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12)
ในปีแรกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12 ในปีที่สอง และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในปีที่ 3
1.2 กรณีการควบคุมกิจการโดยมีสถาบันการเงินอื่นเป็นแกน ให้มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไม่ต่ำกว่าร้อยละ
12 ตลอด 2 ปีแรก และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในปีที่ 3
1.3 เงินกองทุนหมายถึง เงินกองทุนหลังจากการควบรวมหรือโอนกิจการ เมื่อหักด้วยภาระผูกพันที่ต้องชำระ
เมื่อครบกำหนดและหักด้วยจำนวนที่ตั้งสำรองเผื่อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยแล้ว
2. การแปลงหนี้เป็นกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จะพิจารณาให้กองทุนฟื้นฟูฯ แปลงหนี้เป็นทุนได้หากได้มีการรับรู้ผลขาดทุนเดิมที่มีอยู่ให้เสร็จก่อน (Writedown) แต่ทั้งนี้การแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ของทุนที่ชำระแล้วของบริษัทได้3. ผลการสำรองหนี้สูญ ให้สามารถนำมาใช้หักภาษีได้4. การอนุญาตให้มีผู้ถือหุ้นต่างชาติ จะพิจารณาอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นได้เกินกว่าร้อยละ 50 เป็นเวลา 10 ปี โดยการเพิ่มทุนใด ๆ หลังจากนั้นจะต้องจำหน่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นไทยจนกระทั่งสัดส่วนถือหุ้นลดลงต่ำกว่าร้อยละ 505. การชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน บริษัทที่ยื่นเสนอแผนการฟื้นฟูกิจการสามารถขอขยายการชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูได้ไม่เกิน 8 ปี ในอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ที่กองทุนฟื้นฟูฯ กำหนด6. เกณฑ์ในการพิจารณาผู้บริหาร--จบ