ทำเนียบรัฐบาล--24 เม.ย.--บิสนิวส์
วันนี้ (4 เมษายน 2541) เวลา 18.30 น. โดยประมาณ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายแก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรป สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงผลการประชุมอาเซ็ม ครั้งที่ 2 ซึ่งมีงานในส่วนที่เป็นภารกิจที่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในภูมิภาคยุโรปต้องติดตามและดูแลต่อไปหลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านการค้า เพื่อสร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แก่ประเทศ โดยก่อนที่จะมีการให้นโยบายนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความสนใจของยุโรปต่อการประชุมในครั้งนี้ว่า ผมได้พูดว่า เอเชียอยู่ในฐานะแตกต่างจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะในตอนนั้น ประเทศต่างๆ มองว่า เอเชียมีความอัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ แต่ในครั้งนี้กลับมีสถานเหมือนคนป่วย จึงวิตกว่า "ไม่แน่ใจว่ายุโรปคิดอย่างไร และยังสนใจเราอยู่หรือไม่" อย่างไรก็ดีตลอด 2 วันของการประชุม ได้มีการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่ชัดเจนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษในฐานะเจ้าภาพ รวมทั้ง ประเทศยุโรปอื่นๆ ว่า ได้มีความสนใจและให้คำรับรองว่า จะเข้ามามีส่วนในการแก้ไขปัญหาและร่วมให้ข้อเสนอแนะ เช่น การส่งผู้เชี่ยวชาญจากยุโรปเข้ามายังภูมิภาคเอเชีย (โดยตกลงกันว่า มิให้ระบุรายชื่อเป็นประเทศ) เพื่อศึกษาด้านการลงทุน ทั้งนี้ เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนต่อไป ฉะนั้น การแสดงความชัดเจนดังกล่าว ได้ช่วยคลี่คลายความกังวลของกลุ่มประเทศในเอเชียได้เป็นอย่างมาก
ปัญหาด้านการค้าที่เกี่ยวโยงกับปัญหาการถูกตัด GSP ของสินค้านำเข้าจากประเทศไทย ทั้งในด้านเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกุ้งสดแช่แข็ง ซึ่งมีประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีที่ต่อต้านการนำเข้ากุ้งจากไทยอย่างเต็มที่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในการพบปะหารือกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ปรากฏว่า ฝ่ายฝรั่งเศสได้ให้ความสนใจในปัญหาของเอเชียเป็นอย่างมาก และจากผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและฝรั่งเศส ก็ปรากฏเช่นกันว่า ฝ่ายฝรั่งเศสมีท่าทีที่ดีในเรื่องนี้ และรับที่จะนำปัญหาดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนต่อไป สำหรับในการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอิตาลีนั้น นายกรัฐมนตรีอิตาลีก็ได้รับที่จะพิจารณาทบทวนปัญหาดังกล่าวเช่นกัน โดยฝ่ายไทยได้แจ้งให้ทราบว่า จากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินที่ประสบในขณะนี้ ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษเรื่อง GSP ฉะนั้น หากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีมีท่าทีไปในทางผ่อนคลายแล้ว ก็น่าจะทำให้การทบทวนการให้ GSP แก่สินค้าจากไทย โดยเฉพาะกุ้งสดแช่แข็ง เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยอย่างมาก ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้เอกอัครราชทูตที่เกี่ยวข้องทำการติดตามมติของที่ประชุมคณะกรรมาธิการยุโรปในเรื่องนี้ต่อไป
สำหรับจุดยืนของรัฐบาลในการขอรับความช่วยเหลือจากยุโรปในการแก้ไขปัญหาทางการเงินนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีสเปนทราบว่า การให้ความช่วยเหลือนั้น ควรจะต้องช่วยให้ประเทศที่มีปัญหาสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ ไม่ใช่การแบมือขอเงิน ทั้งนี้ ผลจากความเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูงนั้น จำเป็นจะต้องส่งสัญญาณให้ประเทศต่างๆ เลื่อนการชำระหนี้ให้ ดังเช่น กรณีเยอรมันเลื่อนเวลาในการชำระหนี้ด้านยุทโธปกรณ์ทางทหารให้แก่กองบัญชาการทหารสูงสุดของไทย โดยไม่คิดดอกเบี้ย ในปัจจุบัน ปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจเป็นปัญหาสำคัญอีกประการที่ต้องการความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมโดยการให้เงินกู้และสินเชื่อเพื่อการส่งออก สหรัฐฯ ได้ให้สินเชื่อดังกล่าวแก่ไทยคิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ทางยุโรปเองก็สามารถให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้ได้เช่นกัน รวมทั้ง การขอให้เปิดตลาดให้แก่สินค้านำเข้าจากประเทศไทยมากขึ้น
ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้แก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรปใน 3 ประการสำคัญ คือ 1) เน้นการให้ความสำคัญต่อปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยได้ฝากให้ดูแล และส่งเสริมด้านการค้าเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยตามโครงการปี Amazing Thailand Year 1998-1999 2) การประหยัดโดยการตัดรายจ่ายและการยกเลิกสัญญาที่ไม่จำเป็น เป็นต้น และ 3) การชี้แจงตอบโต้รายงานข่าวที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า เอกอัครราชทูตฯ จะต้องหมั่นชี้แจงการรายงานข่าวในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น และก่อผลกระทบเชิงลบ เนื่องจากสื่อมวลชนยังขาดความเข้าใจในข้อเท็จจริงของปัญหาหรือสาเหตุของปัญหา แต่กลับไปดูที่ปลายเหตุของปัญหา และนำไปเขียนข่าวที่ขยายผลในเชิงลบต่อประเทศไทย ทั้งที่เรื่องเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ดังเช่นกรณีสำนักข่าว CNN รายงานข่าวเหตุการณ์ประท้วงของผู้ใช้แรงงานที่โรงงานซัมมิต ออร์โตพาร์ท และกรณีการส่งผู้อพยพแรงงานพม่าซึ่งเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศ ทั้งๆ มีตัวเลขว่า ผู้อพยพชาวพม่าได้เข้ามาอยู่ในไทยจำนวนนับล้านๆ คน ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะก่อปัญหารุนแรงได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า รวมทั้ง อาจทำให้โรคระบาดที่ประเทศไทยเคยสามารถป้องกันและควบคุมได้แล้ว ต้องกลับมาแพร่ระบาดใหม่ เช่น โรคเท้าช้าง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แรงงานต่างชาติที่เข้าเมืองโดยถูกกฎหมายเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำงานได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า แม้ว่าเราจะให้การคุ้มครองสิทธิตามหลักสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่เราก็จำเป็นต้องดูแลปัญหาของเรามิให้ได้รับผลกระทบ เพียงแต่เราต้องชี้แจงทำความเข้าใจ มิฉะนั้น "เหตุการณ์ที่ไม่รุนแรงบางครั้งได้ก่อผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศอย่างรุนแรงได้"
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทยว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่และยังหนักอยู่ โดยอุปมาเหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดแล้ว แต่ลาวา เถ้าผงฝุ่นละอองยังมีอยู่ผลกระทบจึงยังไม่หมด โดยเฉพาะปัญหาการว่างงาน และปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้ และการรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ ในขณะนี้ กระทรวงการคลังได้เร่งทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น--จบ--
วันนี้ (4 เมษายน 2541) เวลา 18.30 น. โดยประมาณ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายแก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรป สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงผลการประชุมอาเซ็ม ครั้งที่ 2 ซึ่งมีงานในส่วนที่เป็นภารกิจที่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในภูมิภาคยุโรปต้องติดตามและดูแลต่อไปหลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านการค้า เพื่อสร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แก่ประเทศ โดยก่อนที่จะมีการให้นโยบายนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความสนใจของยุโรปต่อการประชุมในครั้งนี้ว่า ผมได้พูดว่า เอเชียอยู่ในฐานะแตกต่างจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะในตอนนั้น ประเทศต่างๆ มองว่า เอเชียมีความอัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ แต่ในครั้งนี้กลับมีสถานเหมือนคนป่วย จึงวิตกว่า "ไม่แน่ใจว่ายุโรปคิดอย่างไร และยังสนใจเราอยู่หรือไม่" อย่างไรก็ดีตลอด 2 วันของการประชุม ได้มีการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่ชัดเจนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษในฐานะเจ้าภาพ รวมทั้ง ประเทศยุโรปอื่นๆ ว่า ได้มีความสนใจและให้คำรับรองว่า จะเข้ามามีส่วนในการแก้ไขปัญหาและร่วมให้ข้อเสนอแนะ เช่น การส่งผู้เชี่ยวชาญจากยุโรปเข้ามายังภูมิภาคเอเชีย (โดยตกลงกันว่า มิให้ระบุรายชื่อเป็นประเทศ) เพื่อศึกษาด้านการลงทุน ทั้งนี้ เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนต่อไป ฉะนั้น การแสดงความชัดเจนดังกล่าว ได้ช่วยคลี่คลายความกังวลของกลุ่มประเทศในเอเชียได้เป็นอย่างมาก
ปัญหาด้านการค้าที่เกี่ยวโยงกับปัญหาการถูกตัด GSP ของสินค้านำเข้าจากประเทศไทย ทั้งในด้านเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกุ้งสดแช่แข็ง ซึ่งมีประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีที่ต่อต้านการนำเข้ากุ้งจากไทยอย่างเต็มที่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในการพบปะหารือกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ปรากฏว่า ฝ่ายฝรั่งเศสได้ให้ความสนใจในปัญหาของเอเชียเป็นอย่างมาก และจากผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและฝรั่งเศส ก็ปรากฏเช่นกันว่า ฝ่ายฝรั่งเศสมีท่าทีที่ดีในเรื่องนี้ และรับที่จะนำปัญหาดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนต่อไป สำหรับในการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอิตาลีนั้น นายกรัฐมนตรีอิตาลีก็ได้รับที่จะพิจารณาทบทวนปัญหาดังกล่าวเช่นกัน โดยฝ่ายไทยได้แจ้งให้ทราบว่า จากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินที่ประสบในขณะนี้ ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษเรื่อง GSP ฉะนั้น หากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีมีท่าทีไปในทางผ่อนคลายแล้ว ก็น่าจะทำให้การทบทวนการให้ GSP แก่สินค้าจากไทย โดยเฉพาะกุ้งสดแช่แข็ง เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยอย่างมาก ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้เอกอัครราชทูตที่เกี่ยวข้องทำการติดตามมติของที่ประชุมคณะกรรมาธิการยุโรปในเรื่องนี้ต่อไป
สำหรับจุดยืนของรัฐบาลในการขอรับความช่วยเหลือจากยุโรปในการแก้ไขปัญหาทางการเงินนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีสเปนทราบว่า การให้ความช่วยเหลือนั้น ควรจะต้องช่วยให้ประเทศที่มีปัญหาสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ ไม่ใช่การแบมือขอเงิน ทั้งนี้ ผลจากความเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูงนั้น จำเป็นจะต้องส่งสัญญาณให้ประเทศต่างๆ เลื่อนการชำระหนี้ให้ ดังเช่น กรณีเยอรมันเลื่อนเวลาในการชำระหนี้ด้านยุทโธปกรณ์ทางทหารให้แก่กองบัญชาการทหารสูงสุดของไทย โดยไม่คิดดอกเบี้ย ในปัจจุบัน ปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจเป็นปัญหาสำคัญอีกประการที่ต้องการความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมโดยการให้เงินกู้และสินเชื่อเพื่อการส่งออก สหรัฐฯ ได้ให้สินเชื่อดังกล่าวแก่ไทยคิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ทางยุโรปเองก็สามารถให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้ได้เช่นกัน รวมทั้ง การขอให้เปิดตลาดให้แก่สินค้านำเข้าจากประเทศไทยมากขึ้น
ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้แก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรปใน 3 ประการสำคัญ คือ 1) เน้นการให้ความสำคัญต่อปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยได้ฝากให้ดูแล และส่งเสริมด้านการค้าเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยตามโครงการปี Amazing Thailand Year 1998-1999 2) การประหยัดโดยการตัดรายจ่ายและการยกเลิกสัญญาที่ไม่จำเป็น เป็นต้น และ 3) การชี้แจงตอบโต้รายงานข่าวที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า เอกอัครราชทูตฯ จะต้องหมั่นชี้แจงการรายงานข่าวในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น และก่อผลกระทบเชิงลบ เนื่องจากสื่อมวลชนยังขาดความเข้าใจในข้อเท็จจริงของปัญหาหรือสาเหตุของปัญหา แต่กลับไปดูที่ปลายเหตุของปัญหา และนำไปเขียนข่าวที่ขยายผลในเชิงลบต่อประเทศไทย ทั้งที่เรื่องเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ดังเช่นกรณีสำนักข่าว CNN รายงานข่าวเหตุการณ์ประท้วงของผู้ใช้แรงงานที่โรงงานซัมมิต ออร์โตพาร์ท และกรณีการส่งผู้อพยพแรงงานพม่าซึ่งเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศ ทั้งๆ มีตัวเลขว่า ผู้อพยพชาวพม่าได้เข้ามาอยู่ในไทยจำนวนนับล้านๆ คน ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะก่อปัญหารุนแรงได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า รวมทั้ง อาจทำให้โรคระบาดที่ประเทศไทยเคยสามารถป้องกันและควบคุมได้แล้ว ต้องกลับมาแพร่ระบาดใหม่ เช่น โรคเท้าช้าง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แรงงานต่างชาติที่เข้าเมืองโดยถูกกฎหมายเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำงานได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า แม้ว่าเราจะให้การคุ้มครองสิทธิตามหลักสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่เราก็จำเป็นต้องดูแลปัญหาของเรามิให้ได้รับผลกระทบ เพียงแต่เราต้องชี้แจงทำความเข้าใจ มิฉะนั้น "เหตุการณ์ที่ไม่รุนแรงบางครั้งได้ก่อผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศอย่างรุนแรงได้"
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทยว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่และยังหนักอยู่ โดยอุปมาเหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดแล้ว แต่ลาวา เถ้าผงฝุ่นละอองยังมีอยู่ผลกระทบจึงยังไม่หมด โดยเฉพาะปัญหาการว่างงาน และปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้ และการรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ ในขณะนี้ กระทรวงการคลังได้เร่งทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น--จบ--