วันนี้ (17 ก.ย. 58) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจดีเด่น ประจำปี 2558 หรือ Prime Minister’s Business Enterprise Award 2014 : PM Award 2015 เพื่อเป็นเกียรติและกำลังใจแก่ผู้ประกอบการในการพัฒนานาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สามารถแข่งขันและสร้างตลาดต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ คณะทูตานุทูต ผู้ประกอบการธุรกิจ ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม หน่วยงานเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวรายงานว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลผู้ประกอบการส่งออกไทยดีเด่น ประจำปี 2558” (Prime Minister’s Export Award 2015 : PM Award 2015) ซึ่งถือเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จสูงสุดสำหรับผู้ประกอบการทั้งสิ้นและบริการประเภทต่าง ๆ ที่ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับรางวัลมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการของตนเองให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงทำให้ผู้นำเข้าและผู้ซื้อจากต่างประเทศเพิ่มความเชื่อมั่นต่อผู้ส่งออกของไทย โดยในปี 2558 นี้ มีผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่นได้รับรางวัล ประกอบด้วย 6 ประเภทรางวัล คือ 1) รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter) 2) รางวัลสินค้านวัตกรรมที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม (Best Green Innovation) 3) รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม (Best Thai Brand) 4) รางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) 5) รางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม (Best Service Enterprise Award) 6) รางวัลสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งออกและคุณภาพยอดเยี่ยม (Best OTOP Exporter Recognition)
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบโล่รางวัล PM Award 6 ประเภท พร้อมกล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน รัฐบาล จึงมุ่งเน้นการดูแลเศรษฐกิจชุมชนในส่วนกลางและภูมิภาคให้เชื่อมโยงกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อเชื่อมโยงถึงธุรกิจระดับประเทศและสามารถไปแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ จึงต้องมีการพัฒนาสินค้าต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดอาเซียน การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียนภายใต้กรอบ AEC จะเพิ่มบทบาท รวมทั้งอำนาจการต่อรองของอาเซียนในเวทีเศรษฐกิจโลกซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาค โดยเฉพาะการสร้างตลาดรองรับสินค้านวัตกรรมของไทยในอนาคต ประเทศไทยจึงต้องเร่งพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้นวัตกรรม การพัฒนาสินค้าและบริการ และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ หรือเชื่อมต่อ Social Media ตั้งแต่การนำเสนอสินค้า การรับใบสั่งซื้อ ระบบการผลิต การจัดส่ง และการเรียกเก็บเงิน ทุกขั้นตอนต้องรวดเร็ว สินค้าต้องสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในด้านคุณภาพ และความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ว่าจะส่งผลให้อาเซียนกลายเป็นตลาดที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และ เวียดนาม) กลุ่มดังกล่าวจะตั้งอยู่ใจกลางของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางการค้าใหญ่ๆ จากทุกมุมโลก สำหรับประเทศไทยจะมีปัญหาจากต้นทุนแรงงานขั้นต่ำที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเร่งมองหาโอกาสในการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งกลุ่ม CLMV จะต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมกันนี้ ผู้ประกอบการและภาครัฐจะต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมไทยในปัจจุบันไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มบนหลักการแห่งความมีคุณภาพและมีคุณธรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งหลายทำหน้าที่เป็นผู้สร้างรายได้เข้าประเทศบนพื้นฐานที่มั่นคง สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน ได้มีภัยคุกคามจากรอบด้าน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศระดับรายได้ปานกลางต้องสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีเหตุผล รู้จักพอประมาณ มีคุณธรรม ภายใต้การกำกับของรัฐบาล ซึ่งการจะผลิตสินค้าจะต้องคำนึงถึงตลาดและสามารถขายได้ เช่น ข้าว จำเป็นต้องมีการพัฒนานวัตกรรมให้สินค้ามีความแปลกใหม่ จึงถือเป็นการจุดประกายแนวความคิดใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการอื่นๆ อีกด้วย
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ชมพูนุท / รายงาน
ลัดดา / ตรวจ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th