โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายการประสานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โดยสรุปความว่า วันนี้เป็นวันแห่งความสดใส ดีใจที่เห็นทุกคนมีรอยยิ้ม หน้าตามีความสุข วันนี้เรามาร่วมมือกันในการสร้างสรรค์ สร้างพลังเพื่อทำความดีให้ประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตนเอง หรือข้าราชการ แต่ทำเพื่อประชาชนทุกคน ซึ่งไม่ใช่เป็นการทำประชานิยม เพราะประชานิยมเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความนิยมต่อภาครัฐ โดยรัฐบาลนี้เป็นความร่วมมือของรัฐบาลกับประชาชนในการแก้ไขปัญหา
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผมเป็นรัฐ ท่านเป็นประชาชนมาสัญญาร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติให้เจริญเติบโตไปข้างหน้า ขณะเดียวกันประเทศต้องเริ่มสร้างความเข้มแข็งตั้งแต่ฐานรากขึ้นมา วันนี้เราจะต้องร่วมมือกันทำให้เกิดความชัดเจนระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน และท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจฐานราก ตลอดจนการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงการบริการของรัฐ และกระบวนการทางกฎหมายต่าง ๆ ทั้งนี้ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนต้องยึดถือไว้ รวมทั้งต้องมีความรู้คู่คุณธรรม โดยเฉพาะผู้ปกครองที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองจะต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม มีหลักธรรมาภิบาล ซึ่งประชาชนเองก็จะต้องมีศีลธรรม
วันนี้รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้เกิดความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้สังคมมีความมั่นคง และความสงบสุข สิ่งที่สำคัญเราจะต้องสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน และเตรียมความพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ขณะที่ความรู้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นเพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่ถูกชักจูงไปง่าย ๆ อันจะทำให้เกิดความแตกแยกในประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศชาติไม่ใช่ของตน หรือของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทั้ง 70 ล้านคน ที่เรียกว่า “ประชารัฐ” หากฟังเพลงชาติไทยผู้ประพันธ์ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทย เป็นประชารัฐ ไม่มีคำว่าประชานิยม ประชารัฐหมายถึงประชาชนกับรัฐบาล ร่วมกัน รัฐบาลจะเป็นผู้ที่อำนวยความสะดวก เปิดช่องทางให้เอกชน ประชาชน เข้ามาร่วมมือกันตามกระบวนการประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลนี้มีความห่วงใยทุกคน และมีความตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และสร้างความเข้มแข็งในชุมชุมท้องถิ่นให้ได้ โดยรัฐบาลจะส่งเสริมทางด้านการตลาด ซึ่งมีแนวคิดที่จะเปิดตลาดกลางเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกษตรกรมีการเชื่อมต่อและพบกับผู้ค้าโดยตรง เป็นการสร้างเครือข่ายในท้องถิ่น และสร้างความสมดุลของราคาสินค้า โดยจะต้องมีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ตลอดจนการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคอาเซียน
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เราต้องพึ่งพลังประชาชน ต้องมีหัวใจที่ทุ่มเท ถ้ารัฐทำดีก็ต้องส่งเสริม เพราะรัฐทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งประเทศไทยเราเป็นรัฐหนึ่งรัฐเดียวแยกจากกันไม่ได้ ทั้งนิตินัย และพฤตินัย ต้องเท่าเทียมกัน มีการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรให้ทั่วถึงทุกภูมิภาค ที่สำคัญวันนี้เราต้องเปิดมุมมองใหม่เปิดตาให้กว้างและฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่จะร่วมมือขับเคลื่อนประเทศไปให้ได้ ต้องฟังและคิดว่าใครอยากให้ประเทศเดินหน้า ทั้งนี้ รัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนท้ายว่า การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ต้องแก้ด้วยการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีธรรมาธิบาล ซึ่งการเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์?ต้องไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่สร้างปัญหาความขัดแย้ง และความแตกแยก โดยจะต้องสร้างความปลอดภัยให้กับประเทศ และสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง หรือเพียงแค่หน่วยงานรัฐบาล และข้าราชการเท่านั้น แต่ต้องขอความร่วมมือจากคนไทยทุกคน หากเรารวมพลังและสร้างความเข้าใจ ปัญหาทั้งหมดก็สามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน เพื่อร่วมกันทำให้บ้านเมืองเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการ พร้อมกล่าวทักทายผู้เข้าร่วมงานด้วยอัธยาอันดี
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th