วันนี้ (26 ก.ย.58) พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่หลายฝ่ายรู้สึกกังวลเกี่ยวกับโครงการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศผ่านโครงข่ายช่องทางเดียว หรือ National Single Internet Gateway และมีผู้รวบรวมรายชื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่า รัฐบาลน้อมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย โดยถือว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้ร่วมมือกันปฏิรูปประเทศ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่อยากให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตรู้สึกกังวลมากเกินไปและไม่ควรสร้างกระแสให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นในสังคม แต่อยากให้พูดคุยอย่างสร้างสรรค์ว่าประเทศไทยควรทำอย่างไร ที่สำคัญขณะนี้โครงการดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและรวบรวมข้อมูลโดยจะเชิญภาคธุรกิจและภาคประชาชนมาหารือร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบคอบ และก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ยังต้องสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วนว่าการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จะได้รับการพิจารณาแล้วอย่างถ้วนทั่ว สิ่งที่อยากเน้นย้ำให้สังคมได้เข้าใจคือการที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเคารพสิทธิของประชาชนในการใช้งานอินเทอร์เน็ตและไม่ได้ต้องการควบคุมข่าวสารตามที่เป็นข่าว
“อยากให้มองว่า รัฐบาลกำลังหาแนวทางพัฒนาประเทศโดยอาศัยการบริหารจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน แต่ต้องไม่ละเลยเรื่องความมั่นคงปลอดภัยด้วย ในหลายประเทศได้ใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือในการยกระดับสังคมให้เจริญก้าวหน้า ขณะที่ทางสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศก็ชื่นชมในการทำงานของรัฐบาลไทย โดยจะมอบรางวัลให้แก่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำที่ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ระหว่างการเข้าร่วมประชุม UN ในครั้งนี้
ท่านนายกฯ ยังไม่ได้สั่งการให้ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบด้านอื่นด้วย เป็นแต่เพียงขอความร่วมมือให้ช่วยกันเฝ้าระวัง และแสวงหาความร่วมมือจากนานาประเทศ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียอย่างแท้จริง ประเทศไทยควรให้ความสำคัญโดยตระหนักถึงทั้งวิกฤตและโอกาส เนื่องจากเรามีการใช้โซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก และเรากำลังจะพัฒนาประเทศทุกด้านโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน สังคม การศึกษา การเข้าถึงการบริการภาครัฐ ความมั่นคง ลดการทุจริตคอรัปชั่น เพื่อให้ไทยพร้อมเป็นสมาร์ทเนชั่นอย่างปลอดภัยในระยะเวลาอันใกล้นี้”
ที่มา: http://www.thaigov.go.th