วันนี้ (30ก.ย.58) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งการต่อที่ประชุมฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงให้ที่ประชุมทราบว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระราชทานเข็มเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา ให้กับหน่วยราชการและบุคคลทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายงานในเรื่องกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่" เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 12 สิงหาคม 2558 และทรงขอบใจผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพราะเป็นกิจกรรมที่ถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศไทยซึ่งพสกนิกรร่วมมือร่วมใจในการจัดกิจกรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งยังเป็นการสร้างความรักความสามัคคีภายในประเทศชาติและเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมเกี่ยวกับเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจเข้ามาก็ได้มีการออกมาตรการต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 130,000 กว่าล้านบาท แบ่งออกเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย 1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองกองทุนละ 1 ล้านบาท 2) การส่งเสริมการจัดจ้างงานภายในพื้นที่ตำบล ตำบลละ 5 ล้านบาท ทั้งหมด 7,255 ตำบล รวมเงินมูลค่า 36,275 ล้านบาท 3) โครงการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ประมาณ 40,000 ล้านบาท โดย รองนายกรัฐมนตรี ขอให้คณะทำงานขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยติดตามการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมกับ กรอ.จังหวัด และคณะทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนำข้อมูลดังกล่าวกลับมารายงานนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการไปแล้วมีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด และเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม 2558 นี้
อีกทั้ง รองนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ซึ่งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 ได้มีมติอนุมัติงจะจัดสรรงบประมาณให้ตำบลละ 5 ล้านบาท ทั้งหมด 7,255 ตำบล รวมเงินมูลค่า 36,275 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่แต่ละตำบล ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้หมายรวมถึงงบประมาณที่รัฐบาลได้เคยช่วยเหลือเกษตรกรผ่านกระทรวงมหาดไทย จำนวน 6,541 ล้านบาท และรวมถึงการจัดซื้อเครื่องมือทางการเกษตรให้กับประชาชนด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนของโครงการช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 6,541 ล้านบาท รวมถึงการจัดซื้อเครื่องมือทางการเกษตร ได้มีการดำเนินไปแล้วประมาณ 5 – 6 เดือนที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนั้น ทำให้บางตำบลมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าอาจจะได้ไม่ครบ 5 ล้านบาท มีบางตำบลได้ 3 ล้านบาท หรือ 4 ล้านบาท เพราะมีการนำไปหักลบกลบหนี้กับโครงการช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 6,541 ล้านบาท ไปแล้วนั้น วันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ชี้แจงและหารือเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยได้ข้อสรุปว่านโยบายหลักสำคัญของรัฐบาลคือต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรเพื่อให้เม็ดเงินลงไปสร้างงานและสร้างรายได้ในพื้นที่อย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม ดังนั้น ตำบลที่จะได้ 5 ล้านบาท ก็จะได้รับการจัดสรรงบประมาณให้ทุกตำบล ทั้งหมด 7,255 ตำบล โดยจะไม่มีตำบลหนึ่งตำบลใดได้น้อยกว่า 5 ล้านบาท เพราะนำไปหักจากโครงการช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 6,541 ล้านบาทตามที่เข้าใจแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในกรณีใดก็ตามที่มีโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่เสนอมา จำนวน 6,541 ล้านบาท ไปซ้ำซ้อนกับโครงการตำบลที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณตำบลละ 5 ล้านบาท นั้น สำนักงบประมาณจะพิจารณาตรวจสอบประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งหากตรงไหนมีความซ้ำซ้อนกันจริงก็คงจะไม่ดำเนินการ แต่หากตรงไหนไม่ซ้ำซ้อนก็จะพิจารณาหาเงินอนุมัติเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการเกี่ยวกับกรณีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ฝนตกในหลายพื้นที่ในช่วง 1 -2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกภาคส่วนจากสถานการณ์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างทันท่วงที ขณะเดียวกันให้ดูแลในเรื่องภัยแล้งควบคู่ไปด้วย เพราะฤดูฝนอาจจะสิ้นสุดประมาณกลางหรือปลายเดือนตุลาคม 2558 เช่น การเก็บกักรักษาน้ำเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
พร้อมทั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รายงานเกี่ยวกับการดำเนินการใช้ตั๋วร่วมสำหรับการโดยสารสาธารณะว่า ที่ผ่านมาได้มีแนวความคิดที่จะดำเนินการในเรื่องดังกล่าว แต่ยังไม่ได้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดจน จนมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่าทำอย่างไรถึงจะดูแลประชาชนให้ได้รับความสะดวกและประหยัด รัฐบาลจึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการคมนาคมสาธารณะที่มีอยู่มาดำเนินการให้เกิดประโยชน์ทำให้เกิดโครงการตั๋วร่วมขึ้น ซึ่งโครงการตั๋วร่วม ดำเนินการโดยสำนักนโยบายและแผนการขนส่งจราจร โดยจะเป็นการนำการใช้ตั๋วที่เกี่ยวข้องกับการโดยสารสาธารณะต่าง ๆ มารวมในใบเดียวกัน เช่น รถไฟฟ้า MRT รถไฟฟ้า BTS หรือรถไฟฟ้สายสีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การเดินทางทางน้ำ การเดินทางโดยรถเมล์ การเดินทางผ่านมอเตอร์เวย์ การเดินทางผ่านทางด่วน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จะดำเนินการติดตั้งได้แล้วเสร็จ และจะมีการทดสอบระบบภายในเดือนสิงหาคม 2559 ก่อนเปิดใช้งานเต็มระบบต่อไป ทั้งนี้หากโครงการตั๋วร่วมสำหรับการโดยสารสาธารณะสำเร็จคาดว่าจะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ในเรื่องความสะดวกต่าง ๆ ทั้งการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ขณะเดียวกันยังทำให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณในเรื่องของการให้บริการ ตลอดจนสามารถเก็บข้อมูลดังกล่าวเพื่อนำมาวางแผนในเรื่องการแก้ไขปัญหาการจราจรและการคมนาคมขนส่งได้อีกด้วย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th