การประชุมดังกล่าว พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และสมเด็จกลาโหมซอร์ เค็ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานร่วมในการประชุมฯ ซึ่งดำเนินไปด้วยบรรยากาศของความเป็นมิตรไมตรีที่ดีและสร้างสรรค์ ทั้งสองฝ่ายแสดงความพอใจกับพัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชาในภาพรวม และได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างกัน
สำหรับผลการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันถึงการกระชับความร่วมมือระหว่างกันด้วยความแน่นแฟ้น และได้มีการร่วมลงนามในบันทึกการประชุมโดยประธานร่วมของทั้งสองฝ่าย ซึ่งครอบคลุมสาระสำคัญของความร่วมมือในด้านต่างๆ ดังนี้
1.ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนบริเวณชายแดน โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือร่วมกันถึงการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในบริเวณพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว – จังหวัดบันเตียเมียนเจย และจังหวัดตราด – จังหวัดเกาะกง และความร่วมมือการพัฒนาความเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค โดยเฉพาะการก่อสร้างเส้นทางรถไฟระหว่าง อำเภออรัญประเทศ – ปอยเปต ตลอดจนการเร่งรัดการดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ที่บ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว และจุดผ่านแดนถาวรสตึงบท ควบคู่ไปกับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ที่บ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว และจุดผ่านแดนถาวรโอเนียง จังหวัดบันเตียเมียนเจย รวมถึงการเปิด/ยกระดับจุดผ่านแดนให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรอีกจำนวน 4 จุด ได้แก่ 1.ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ตรงข้ามกับ ช่องอานเซะ จังหวัดพระวิหาร 2.บ้านเขาดิน จังหวัดสระแก้ว ตรงข้ามกับ พนมได จังหวัดพระตะบอง 3.บ้านท่าเส้น จังหวัดตราด ตรงข้ามกับ บ้านทมอดา จังหวัดโพธิสัตว์ 4.ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ ตรงข้ามกับ ช่องจุ๊บโกกี จังหวัดอุดรมีชัย โดยการเปิด/ยกระดับจุดผ่านแดนถาวรดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันในภาคประชาชน รวมทั้งส่งเสริมการค้าและการลงทุน ตลอดจนการท่องเที่ยวตามแนวชายแดนมากขึ้น
2.ความร่วมมือด้านการปรับปรุงและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เช่น การพัฒนาทักษะแรงงาน การเกษตร การสาธารณสุข การพัฒนาชุมชน การท่องเที่ยว การบริหารจัดการภัยพิบัติ เป็นต้น
3.ความร่วมมือด้านการเสริมสร้างความมั่นคงและรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ รวมถึงการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในไทย โดยทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2558 ณ กรุงเทพมหานคร ราชอาณาจักรไทย ซึ่งจะอนุญาตให้แรงงานของทั้งสองประเทศใช้บัตรผ่านแดนสำหรับเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนในลักษณะไป-กลับ และตามฤดูกาล
4.ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมอื่นๆ ในพื้นที่ชายแดน เช่น การลักลอบตัดไม้พะยูง การค้ามนุษย์ การลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย ปัญหายาเสพติด ตลอดจนการกระทำผิดกฎหมายต่างๆ บริเวณชายแดน โดยการบังคับใช้กฎหมายและขั้นตอนการปฏิบัติจะอยู่บนพื้นฐานด้านมนุษยธรรม
5.ความร่วมมือผ่านกลไกในระดับจังหวัดและท้องถิ่นทั้งสองฝ่ายส่งเสริมให้มีการจับคู่เมืองคู่มิตร โดยผลักดันให้มีการจัดตั้งกลไกการหารือร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งในคราวการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความยินดีต่อการลงนามสถาปนาเมืองคู่มิตรระหว่าง จังหวัดสุรินทร์กับจังหวัดอุดรมีชัย โดยมีหัวหน้าคณะฝ่ายไทยและหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชาร่วมเป็นสักขีพยาน และสนับสนุนให้เมืองคู่มิตรระหว่างไทย-กัมพูชา ได้ดำเนินกิจกรรมโครงการเพื่อกระชับความสัมพันธ์และสนับสนุนความร่วมมือและการพัฒนาร่วมกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นชอบที่จะเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความเคารพซึ่งกันและกันเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยจะเผยแพร่หรือนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับความเป็นจริงและสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกัน ก่อนร่วมกันก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งในปลายปี 2558 ที่ใกล้จะถึงนี้
การประชุมในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยในการกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างจังหวัดชายแดนของทั้งสองประเทศแล้ว ยังเป็นการแสวงหาความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง สำหรับการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งต่อไป คือ ครั้งที่ 6 ฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งกำหนดเวลาและสถานที่ทางฝ่ายกัมพูชาจะแจ้งให้ทราบโดยผ่านช่องทางทางการทูตต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th