รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เล็งเห็นความสำคัญในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่จะยกระดับสินค้าไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ที่มีความร่วมมือกับสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีซึ่งเป็นหน่วยงานสถาบันมาตรวิทยาชั้นนำของโลก และเป็นแม่แบบขององค์กรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีบทบาทผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพ ซึ่งเป็นโครงสร้างเชิงบูรณาการที่มีทั้งระบบมาตรวิทยา ระบบการมาตรฐาน ระบบการทดสอบ และระบบการบริหารคุณภาพในระดับนานาชาติ ซึ่งอยู่ในจังหวะที่ประเทศไทยกำลังเร่งบูรณาการการบริการของระบบนี้ภายใต้ชื่อ MSTQ (Metrology, Standard, Testing, Quality) ดังนั้นความร่วมมือกับหน่วยงานระดับนานาชาติเพื่อพัฒนาระบบมาตรวิทยาระหว่างประเทศ และระบบมาตรฐานระหว่างประเทศ จึงมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
ด้านนายประยูร เชี่ยววัฒนา ผู้อำนวยการ มว. กล่าวว่า มว. ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในช่วงการก่อตั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปี พ.ศ. 2551 ซึ่งให้คำแนะนำถึงระบบคุณภาพรวมทั้งส่งผู้เชี่ยวชาญและแลกเปลี่ยนวิทยาการจนสามารถผลิตนักมาตรวิทยาที่มีศักยภาพ และร่วมพัฒนาองค์ความรู้ด้านมาตรวิทยาในสาขาต่างๆ และมีห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงทำให้กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียเข้ามาขอความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาระบบคุณภาพ และความสามารถด้านการวัดที่ใช้สอบเทียบเครื่องมือด้านการวิจัยและการผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการให้บริการฝึกอบรมด้านมาตรวิทยาและการวัดทั้งในและต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ มว. จึงต่อยอดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อให้นักมาตรวิทยาของ มว. ได้มีโอกาสฝึกฝนฝีมือในการเป็นพี่เลี้ยงและผู้เชี่ยวชาญในระดับแนวหน้า เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและการฝึกอบรมด้านมาตรวิทยาในภูมิภาคเอเชีย
ดร.พิเชฐ กล่าวทิ้งท้ายว่า การลงนามครั้งนี้จะยกระดับความร่วมมือสู่การร่วมวิจัยและพัฒนามาตรฐานการวัดที่มีความแม่นยำสูง วิธีการวัดและทฤษฎีใหม่ๆ ซึ่งจะนำไปสู่นวัตกรรมการวัด รวมทั้ง
จะนำไปสู่ความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถ
ด้านมาตรฐานและคุณภาพอันเป็นรากฐานของเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสให้สินค้าเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น
ที่มา: http://www.thaigov.go.th