ในโอกาสนี้ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวปาฐกถา เรื่อง การสร้างการรับรู้ ปรับตัว ฟื้นเร็วทั่วอย่างยั่งยืน โดยกล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทยต่างประสบกับสถานการณ์ภัยพิบัติขนาดใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและมีความถี่มากขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับภัยและการสร้างภูมิคุ้มกันภัยพิบัติให้กับตนเอง สำหรับประเทศไทยได้ร่วมลงนามในความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า AADMER ตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งข้อตกลงฉบับนี้เป็นหลักการสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้ง 10 ประเทศในการสร้างความร่วมมือสู้ภัยพิบัติและยังมีการจัดตั้งกลไกสำหรับการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมนั่นก็คือ “ศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม AHA Center” นอกจากนี้ยังมี “ปฏิญญาว่าด้วยการสร้างประชาคมและประชาชนอาเซียนที่มีความเข้มแข็ง รู้รับ ปรับตัวฟื้นกลับจากภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นทางการ”
ในส่วนของการลดความเสี่ยงในประเทศไทยนั้น ได้มีการจัดทำแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติปี พ.ศ.2558 ซึ่งมีหลักสำคัญ คือ การใช้กรอบการป้องกันบรรเทาสาธารณภัยที่ได้รับความร่วมมือจากนานาชาติ และใช้แนวทางในการลดความเสี่ยงซึ่งต้องบูรณาการร่วมกัน ภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่ 1) การลดความเสี่ยง ให้ความสำคัญกับการป้องกัน 2) การบูรณาการจัดการในภาวะฉุกเฉิน 3) การเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟู และ 4) การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการมีระบบและมาตรการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยอย่างบูรณาการ
การประชุมในวันนี้จึงนับเป็นโอกาสที่ดีในการขับเคลื่อนงานตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติฉบับใหม่ ที่เน้นความร่วมมือระหว่างประเทศในการสร้างประชาคมอาเซียนที่มีภูมิคุ้มกันภัยพิบัติ ซึ่งประเทศไทย ได้สนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (AHA Center) มาโดยตลอดเพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นและรู้จักกลไกการจัดการภัยพิบัติในอาเซียนได้อย่างลึกซึ้ง
สุดท้าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะ AHA Center สภากาชาดไทย และศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย หรือ ADPC ที่เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการจัดสัมมนาในครั้งนี้ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติและตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล รวมถึงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้เป็นอย่างดี
ที่มา: http://www.thaigov.go.th