นางสาริณี แสงประสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) จะปิดซ่อมทางวิ่งฝั่งตะวันออก ด้านทิศเหนือของท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นเวลารวม 17 วัน โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะแรก จะดำเนินการปิดซ่อมทางวิ่งฝั่งตะวันออก ช่วงระยะ 500 เมตรแรก จากหัวทางวิ่ง ระหว่างวันที่ 10 กันยายน 2558 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 22 กันยายน 2558 เป็นเวลา 13 วัน บวท. จะปรับแนวทางบริหารการจราจรทางอากาศ โดยจะใช้ทางวิ่งฝั่งตะวันออก สำหรับให้เครื่องบินทุกประเภททำการบินขึ้นเป็นหลัก แต่ไม่สามารถใช้ทำการบินลงได้ ยกเว้นเครื่องบินที่ต้องทำการบินระยะไกล (long haul) ซึ่งจำเป็นต้องใช้ระยะทางวิ่งขึ้นมากกว่า 2,300 เมตร จะไม่สามารถทำการวิ่งขึ้นได้ ทั้งนี้ คาดว่า การปิดซ่อมทางวิ่งในระยะแรก จะไม่มีผลกระทบกับการจัดการจราจรทางอากาศมาก เนื่องจากทางวิ่งอีกฝั่งยังคงใช้ขึ้น – ลงได้ตามปกติ สามารถบริหารจัดการจราจรทางอากาศได้ 36 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ยกเว้นช่วงที่มีสภาพอากาศแปรปรวน อาจจะทำให้เกิดความล่าช้าของเที่ยวบิน
ระยะที่ 2 จะดำเนินการปิดซ่อมทางวิ่งฝั่งตะวันออก ช่วงระยะ 800 เมตร จากหัวทางวิ่ง ระหว่างวันที่ 23 – 26 กันยายน 2558 ระหว่างเวลา 20.00 – 06.00 น. รวม 4 วัน โดยจะปิดซ่อมเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น ทำให้เหลือระยะทางเพียง 2,000 เมตร เป็นข้อจำกัดสำหรับเครื่องบินที่จะทำการวิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่สามารถใช้ทำการลงได้ โดยเหลือทางวิ่งหลักทางฝั่งตะวันตกเพียงเส้นเดียวในการใช้ขึ้น – ลง เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลากลางวันจะคืนพื้นผิวทางวิ่งให้ใช้งานได้ตามปกติ เพื่อช่วยลดผลกระทบในการบริหารจราจรทางอากาศ
ทั้งนี้ สำหรับแนวทางการบริหารจัดการของ บวท. จะใช้หลักการบริหารความคล่องตัวในการจัดจราจรทางอากาศ หรือ Air Traffic Flow Management ในการจัดสรรปริมาณเที่ยวบินในแต่ละช่วงเวลาให้เหมาะสมกับความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของท่าอากาศยานดอนเมือง โดย บวท. ได้ประสานงานและแจ้งข้อมูลล่วงหน้าให้สายการบิน กองทัพอากาศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศทราบถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นแล้ว และขอความร่วมมือให้ปรับเวลาการบิน เพื่อลดการสะสมของเครื่องบินที่จะส่งผลให้เกิดความล่าช้า และลดความเสี่ยงในการทำการบินไปลงที่ท่าอากาศยานสำรอง หรือท่าอากาศยานอื่น อีกทั้งได้มีการกำหนดมาตรการรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยได้ออกประกาศนักบิน เตือนการล่าช้าเที่ยวบิน การสำรองน้ำมัน การแจ้งเตือนให้อากาศยานใช้เวลาบนทางวิ่งน้อยที่สุด และแจ้งให้สายการบินพิจารณาวางแผนการกำหนดท่าอากาศยานสำรองอื่นที่นอกเหนือจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เช่น ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นต้น ซึ่งในเบื้องต้นได้ประสานกับกองทัพเรือให้รับทราบข้อมูลและเตรียมการรองรับในการเป็นท่าอากาศยานสำรองเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ บวท. ได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัย ระบบ Departure Flow Management มาใช้ในการบริหารจัดการสำหรับเที่ยวบินขาออกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งจัดลำดับให้สลับทิศทางการบินและเส้นทางบิน เพื่อลดปริมาณความหนาแน่นของเที่ยวบิน รวมถึงได้ประสานงานการใช้ข้อมูล Weather radar และข้อมูลคาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศของสำนักอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลการวางแผนรองรับกรณีมีสภาพอากาศเลวร้าย และโรงเรียนการบิน Royal Sky และฝูงบิน 604 ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง โดยโรงเรียนการบิน Royal Sky จะวางแผนย้ายฐานการฝึกบินไปยังท่าอากาศยานพิษณุโลกและอู่ตะเภา และฝูงบิน 604 จะปรับลดรอบเวลาการฝึกเหลือเพียง 2 รอบต่อวัน คือ รอบ 10.00 น. และ 12.00 น. เท่านั้น โดย บวท. จะดำเนินการบริหารจัดการจราจรทางอากาศอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการบินในภาพรวม ช่วยบริหารปัญหาความล่าช้า คำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ความสะดวกสบายในการเดินทางของผู้โดยสาร และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th