ภายหลังการหารือ พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
เมื่อเวลา 09.00 น. บริษัท Mitsubishi Motors นำโดยนาย Morikazu Chokki ประธานบริษัทและผู้บริหาร และนาย Takeshi Hara รองประธาน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทยมายาวนาน ปัจจุบัน รัฐบาลได้ดำเนินการต่างๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศไทยและเพื่อให้เป็นไปตามกติกาของโลก และอยากให้ภาคอุตสาหกรรมประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นเวลานาน ร่วมมือและเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจไปด้วยกัน และยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมจะให้การสนันสนุนการดำเนินธุรกิจและการลงทุนให้เป็นไปอย่างราบรื่น วันนี้ เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลและรับฟังขอเสนอแนะคณะนักธุรกิจต่างชาติที่ลงทุนในประเทศไทยมายาวนาน
ประธาน บริษัท Mitsubishi Motors กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศไทย โดยไทยเป็นประเทศที่สำคัญเป็นลำดับสองรองจากญี่ปุ่นในด้านการผลิตของบริษัท Mitsubishi และ ในปีนี้ มีแผนที่จะขยายการลงทุนอีก 33,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เห็นว่า รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ ในภาคการเกษตรและ SMEs แล้ว จึงขอให้พิจารณาส่งเสริมภาคการเงิน เนื่องจากในปัจจุบัน ประชาชนในส่วนภูมิภาคมีกำลังซื้อน้อยลง นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ เห็นว่า อัตราแลกเปลี่ยนในช่วงที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวของเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนมีผลทางการค้า โดยในประเด็นนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนำเรื่องนี้ไปพิจารณา โดยกำชับว่า ต้องไม่เป็นการสร้าง demand เทียม ซึ่งเป็นการบิดเบือนตลาดและต้องไม่เป็นการเพิ่มหนี้ในครัวเรือนให้กับประชาชนมากเกินไป ในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจุบัน ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเยนมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว และไทยกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถทำธุรกรรมเป็นเงินเยนได้
ระหว่างการสนทนา นายกรัฐมนตรียังได้รับทราบถึงมาตรากีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีจากบางประเทศในอาเซียน ซึ่งขณะนี้ ไทยกำลังเร่งหารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยเร็ว ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะประโยชน์กับบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในไทย รวมทั้ง Mitsubishi ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเขตการค้าเสรีกับตุรกี ชิลี อินเดีย จีนและญี่ปุ่น ซึ่งจะบรรลุผลในไม่ช้า
นอกจากนี้ ในเรื่องการพัฒนาบุคลากร ประเทศไทยกำลังจะประสบภาวะขาดแคลนประชากรวัยทำงาน ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งเพิ่มคุณภาพของแรงงานเพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องการบุคลากรที่มีความสามารถ โดยที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานได้ร่วมมือกันเร่งผลิตบุคลากรที่มีฝีมือ เพื่อป้อนแก่โรงงานและอุตสาหกรรมต่างชาติ เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในอนาคต
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึง การเร่งซ่อมแซมเส้นทางการขนส่งที่แออัดและชำรุด เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ และเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังดำเนินการปรับโครงสร้างทางภาษีทั้งระบบ โดยจะมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ ECO Car และรถยนต์ไฟฟ้า โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ผู้ประกอบการต่างชาติศึกษาสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ จากนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ แบบ cluster และ super cluster และการเชื่อมต่อทางธุรกิจกับผู้ประกอบการรายเล็ก ตลอดจน การจัดตั้งศูนย์การวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย
โดยในตอนท้าย ทางบริษัท Mitsubishi Motor ได้แสดงความขอบคุณต่อการดำเนินการต่างๆของรัฐบาล ที่สนองต่อความสนใจของภาคธุรกิจต่างชาติ ตลอดจนการติดตามข้อห่วงกังวล อันแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลในการสนันสนุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนต่างประเทศและยืนยันจะเดินหน้าขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในอนาคตในเวลา 10.00 น. กลุ่มผู้บริหารระดับสูง บริษัท AutoAlliance ผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อ Ford และ Mazda ประกอบด้วย นาย เทรเวอร์ เนกัส (Mr.Trevor Negus) ประธานและผู้บริหารระดับสูง นาย มาร์ค คอฟแมน (Mr.Mark Kaufman) ประธานประจำภูมิภาคอาเซียน และนายฮิเดสึเกะ ทาเกสุเอะ (Mr. Hidesuke Takesue) ประธาน บ. มาสด้าเซลส์ (ประเทศไทย) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับผู้บริหารระดับสูง บริษัท AutoAlliance ในวันนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่ได้หารือกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลพร้อมรับฟังปัญหาและช่วยเหลือบริษัทฯ ต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทย
นาย เทรเวอร์ เนกัส กล่าวว่า บริษัทฯ แสดงความเข้าใจในสถานการณ์ของไทย และยังคงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพ และยืนยันที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยอย่างแน่นอน โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีแนวโน้มสดใสขึ้น อย่างไรก็ดี อยากให้รัฐบาลพัฒนาด้านสาธารณูปโภค เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนให้มากขึ้น เพราะในปัจจุบันเส้นทางการขนส่งเริ่มแออัดและชำรุด เป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และเชิญชวนให้นักลงทุนลงไปสำรวจเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อดูความเป็นไปได้ในการเข้าไปลงทุนในบริเวณดังกล่าว สำหรับเรื่องโครงสร้างระบบภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่จะปรับใหม่ในปีหน้า นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบอุตสาหกรรมรถยนต์ในภาพรวม นอกจากนี้รัฐบาลจะมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ ECO Car และรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลจะยึดมั่นและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของการลงทุนต่างชาติ พร้อมขอให้นักลงทุนคิดถึงประเทศไทยเป็นอันดับแรก
จากนั้น ในเวลา 10.30 น. กลุ่มอุตสากรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบด้วย บริษัท HGST บริษัท Seagate Technology บริษัท Mitsubishi Electronics Consumer และ บริษัท Thai Samsung Electronics เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีส่วนช่วย ขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีหวังให้มีการลงทุนเพิ่ม โดยรัฐบาลจะหามาตรการดูแล รัฐบาลสนับสนุนการค้าที่เสรีและเป็นธรรม และสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติในประเทศไทย
ผู้บริหารกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แสดงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นสินค้าส่งออกของไทยเป็นลำดับต้น และยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบริษัทฯ ประสบอุปสรรคด้านโครงสร้างพื้นฐานไม่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยในนิคมอุตสาหกรรม ทำให้กระทบกระเทือนต่อการผลิตและส่งมอบสินค้าส่งออก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางบกและทางน้ำ ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ การสร้างมอเตอร์เวย์ 3 สาย การสร้างถนนเชื่อมกับเส้นทางประเทศเพื่อนบ้านและสร้างระบบรถไฟทางคู่ รวมถึงโครงการท่าเทียบเรือชายฝั่ง ซึ่งจะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางและฐานการผลิตของอาเซียนได้
สำหรับประเด็นด้านภาษีศุลกากรนั้น ผู้บริหารกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์หวังว่ารัฐบาลจะเร่งการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปให้ได้โดยเร็ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยไม่ได้ละเลยเรื่องการเจรจาทางการค้า ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการขยายการค้าการลงทุนในระยะยาว สำหรับการเข้าเป็นสมาชิกความตกลง TPP นั้น อยู่ระหว่างการให้กระทรวงพาณิชย์
ศึกษาผลดีผลเสียในการเข้าร่วม ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบ
ก่อนจบการสนทนา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์จัดพบหารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมทีสำคัญในลักษณะเช่นนี้ต่อไป เพื่อเป็นการรับทราบประเด็นปัญหาโดยตรงจากกลุ่มผู้บริหารของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th