นายกรัฐมนตรีกล่าวสุนทรพจน์ต่อนักธุรกิจในงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ- อาเซียน (USABC) และสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (USTBC) และ The Asia Society
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2544 เวลา 18.15 น. พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกจากที่พัก Blair House ไปยังโรงแรม Ritz Carlton เพื่อเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลม CEO Roundtable และงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) และสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (USTBC) และ The Asia Society ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 250 คน ทั้งนี้ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) และสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (USTBC) และ The Asia Society ที่ได้สนับสนุนการจัดงานในวันนี้ และได้ให้โอกาสในการมากล่าวสุนทรพจน์แก่นักธุรกิจชั้นนำ บุคคลสำคัญในรัฐบาล รวมถึงสมาชิกของสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ รวมถึงการสูญเสียในชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนนับพัน ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน ประเทศไทยขอร่วมประณามในการก่อการร้ายดังกล่าวอย่างถึงที่สุด และยังได้ร่วมกับนานาชาติในการสนับสนุนการดำเนินการของสหรัฐฯ ในการต่อต้านการก่อการร้าย ตามข้อมติของสหประชาชาติ และนับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างแข็งขันร่วมกับพันธมิตรในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อการปราบปรามการก่อการร้าย รวมถึงการดำเนินการเพื่อการแก้ไขกฎหมายเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านการก่อการร้าย และในปัจจุบันประเทศไทยได้เป็นภาคีแล้ว 4 ฉบับ และในสัปดาห์หน้า ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะได้พบปะกับเลขาธิการสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยจะได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ( Convention for the Suppression of Financing of Terrorism) และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยของประเทศไทยในเรื่องมนุษยธรรม รัฐบาลไทยได้บริจาคข้าวสารจำนวน 3 พันตันเพื่อการบรรเทาทุกข์ทางด้านอาหารสำหรับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกัน และสภากาชาดไทยได้ร่วมบริจาคผ้าห่มจำนวน 1 หมื่นผืนด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลไทยในฐานะเพื่อนที่ดีของสหรัฐไม่เพียงแต่จะมุ่งมั่นในการให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯและสหประชาชาติเพื่อการกำจัดการก่อการร้ายทุกรูปแบบแล้ว แต่ยังเห็นว่าการก่อการร้ายไม่ควรที่จะบรรลุความสำเร็จในการสร้างความชะงักงันให้กับเศรษฐกิจโลกและทำลายความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ และรัฐบาลไทยได้เตรียมการที่จะปรึกษาหารือกับสหรัฐฯ เพื่อการแสวงหาหนทางและวิธีการต่างๆ เพื่อการสกัดกั้นจุดประสงค์การก่อการร้ายในอันที่จะทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการค้า การท่องเที่ยว หรือความสัมพันธ์ทางการทูต ดังนั้น ในการมาเยือนกรุงวอชิงตัน และการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันนี้ จุดประสงค์หลักสำคัญอันหนึ่งคือ เพื่อการแสวงหาหนทางและวิธีการในการตอบโต้อย่างสร้างสรรต่อความท้าทายของการก่อการร้ายที่มุ่งทำลายการดำเนินชีวิตอันเป็นปกติของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าการค้าโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ 11 กันยายน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซึ่งได้ตกต่ำลงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้เลวร้ายมากขึ้นอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ นักการเงินบางคนได้คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอาจเติบโตเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์กว่าในปีนี้ และปีหน้า และอาจต่ำสุดในรอบ 20 ปีก็ได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า แทนที่จะมีความหดหู่ต่อเหตุการณ์โลกดังกล่าว เราควรที่จะได้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อความท้าทายดังกล่าว ด้วยแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรเพื่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและการบิน โดยส่งผลต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเดินทาง ส่งผลให้สายการบินต่างๆ ประสบกับความล้มละลาย และผลกระทบที่เลวร้ายดังกล่าวย่อมเป็นจุดประสงค์หนึ่งของกลุ่มการก่อการร้ายที่ต้องการทำลายเสรีภาพในการเดินทางและการติดต่อระหว่างกัน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกร้องว่า หนทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 11 กันยายนคือ ความร่วมมือของสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และยุโรปในการดำเนินการร่วมกัน เพื่อการผ่อนปรนชั่วคราวในเรื่องอัตราการประกันภัยแก่สายการบินนานาชาติทุกสาย อันจะส่งผลประโยชน์ต่อทุกประเทศรวมถึงสหรัฐฯ ด้วย ในส่วนของการค้าไทย-สหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น ดังเช่น สินค้าที่ส่งจากไทยมาสหรัฐฯ ปัจจุบันมีความล่าช้าออกไปอีกอย่างน้อยสองวัน ขณะที่สินค้าที่ส่งมาทางเรือต้องใช้เวลาในการตรวจสอบความปลอดภัยจากเดิมเพียงหนึ่งชั่วโมงเป็น 10 วัน ซึ่งความล่าช้าที่เกิดขึ้นนี้ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเสนอว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไทยและสหรัฐฯ ควรที่จะพิจารณาร่วมมือกันในการจัดตั้งคลังสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว (agreed secure warehouse) โดยเป็นการดำเนินการที่ผ่านความเห็นชอบร่วมกันโดยสินค้าไทยจะต้องผ่านการตรวจสอบโดยหน่วยงานด้านการตรวจสอบในความปลอดภัยเพียงหน่วยงานเดียวก่อนที่จะส่งสินค้าออกไปทางเรือ โดยสินค้าดังกล่าวจะได้รับรองในความปลอดภัยตามมาตรฐานของสหรัฐฯ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการร่วมลงนามระหว่างไทยและสหรัฐฯ ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ทั้งในเรื่องการค้า การลงทุน การขนส่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกษตรกรรม ความตกลงดังกล่าวนับได้ว่าเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดในการดำเนินความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในศตวรรษใหม่ และประเทศไทยยังได้ลงนามในอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับสหรัฐฯ รวมถึงการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตเพื่อการให้หลักประกันว่าจะมีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ภายใต้กรอบความตกลงดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าไทยและสหรัฐฯ จะสามารถเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน (strategic partner) ในศตวรรษที่ 21 นี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณนักธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ ชั้นนำ ซึ่งได้ลงทุนและดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเกิดวิกฤตการณ์ในสหรัฐฯ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่มีต่อประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้มีการดำเนินการเพื่อการปฏิรูปทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค ขณะเดียวกันก็ได้มีพยายามที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้ประสบความสำเร็จมาอย่างก้าวหน้าในหลายเรื่อง เช่น นับตั้งแต่ปี 2542 และ 2543 ประเทศไทยเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ในระดับร้อยละ 4.2 และ 4.3 ตามลำดับ และแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าจะลดน้อยลง นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีการดำเนินมาตรการทางการเงิน และสามารถลดอัตราเงินเฟ้อได้จนถึงระดับร้อยละ 2.2 อัตราการแลกเปลี่ยนมีความคงที่และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นมีมากกว่า 31 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และขณะนี้หนี้เสียในภาคเอกชน (NPLs)อยู่ในระดับร้อยละ12 ของเงินกู้ทั้งหมด และลดลงเรื่อยๆ และการจัดตั้งบรรษัทเพื่อการบริหารสินทรัพย์ไทย ก็จะช่วยในการปรับโครงสร้างทางการเงินการบริหารของบริษัทเอกชนไทย เป็นต้น สำหรับในภาครัฐ รัฐบาลยังได้มีการดำเนินการในการปรับปรุงประสิทธิภาพทางด้านการจัดการ และระบบที่สามารถตรวจสอบได้ (accountability) รวมถึงนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งที่ผ่านมาความสำเร็จในการจำหน่ายหุ้นของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้มีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากเหตุการณ์ 11 กันยายน มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตลาดและการสร้างอุปสงค์ ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาคผ่านการใช้จ่ายของรัฐเป็นสิ่งที่จำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องเป็นไปเพื่อการปฏิรูป รวมถึงการสร้างความต้องการภายในประเทศในระดับรากหญ้า และการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวนี้ของรัฐบาลไทย จะเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาแบบคู่ขนาน (dual track development model) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่จะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเพื่อช่วยการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รัฐบาลจึงได้เน้นในเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจให้กับภาคการผลิตของไทย และการกระตุ้นความต้องการผ่านระบบธนาคารของรัฐและกองทุนหมู่บ้าน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก จะช่วยสร้างการจ้างงานและการเพิ่มอำนาจในการซื้อของประชากรไทย 62 ล้านคนในระดับรากหญ้า นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า “ เวลาเป็นของมีค่า และเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้” (time is money, and that time lost cannot be regained) ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้มีการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อการอำนวยความสะดวกสำหรับการขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศอาเซียน แม้ว่าจะประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ก็จำนวนประชากรรวมเกือบ 500 ล้านคน และยังเป็นตลาดใหญ่สำหรับกลุ่มประเทศสมาชิกและประเทศอื่นๆ นอกภูมิภาคด้วย และในอนาคต ภายใต้เขตการค้าเสรี อัตราภาษีต่างๆ กว่า 90 เปอร์เซ็นต์จะถูกยกเลิกไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน และช่วยพัฒนาขีดความสามารถทางการค้าด้วย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีความเชื่อมั่นว่า มีความจำเป็นที่ประเทศในเอเชียควรมีการเพิ่มพูนความร่วมมือให้ใกล้ชิดมากขึ้น ดังนั้น ไทยจึงได้เสนอแนวความคิดเรื่อง “Asia Cooperation Dialogue ” หรือ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของเอเชีย อันจะเป็นเวทีสำหรับผู้นำในการหารือร่วมกันในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเงิน ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้เอเชียเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากขึ้น สำหรับสหรัฐฯในอนาคต
ในเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของจีนนั้น นายกรัฐมนตรีเห็นว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทย เนื่องจากไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่การลงทุนจากต่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้นรวมถึงการลงทุนจากจีนด้วย ขณะนี้ ยังเป็นที่น่ายินดีว่า บริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ได้แก่ ฟอร์ด มอเตอร์ได้ตัดสินใจที่จะย้ายฐานการผลิตของบริษัทผลิตรถกระบะ Ranger ขนาดหนึ่งตัน มายังประเทศไทย เพื่อการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้ให้ความเห็นชอบในเรื่องมาตรการทางภาษีเพื่อเป็นการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุน โดยการเข้ามาจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค โดยเฉพาะการปรับลดภาษีนิติบุคคลจากอัตราร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 10 นอกจากนี้ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติโทรคมนาคม ซึ่งได้มีการกำหนดสัดส่วนของการถือครองหุ้นโดยบริษัทต่างชาติไว้ที่อัตราร้อยละ 25 นั้น รัฐบาลได้มีความตั้งใจที่จะปรับปรุงแก้ไขเพื่อการเพิ่มเพดานของการถือครองไว้ที่ร้อยละ 49 และจะได้มีการนำเสนอเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาแก้ไขทางกฎหมายต่อไป
สำหรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการค้าชายแดนและการจัดตั้งฐานการผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน และไทยยังสร้างเสริมความเข้มแข็งของประเทศเพื่อให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค และการสร้างเครือข่ายการขนส่งคมนาคมในภูมิภาค โดยเฉพาะเส้นทางตะวันออก-ตะวันตก หรือ East-West Corridor ซึ่งจะเชื่อมโยงจากประเทศไทย ผ่านลาว ไปยังเวียดนาม และท่าเรือน้ำลึกดานังทางตอนใต้ของทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ ไทยยังได้ริเริ่มให้มีการจัดตั้งความร่วมมือสามฝ่ายระหว่างอินเดีย พม่า และไทยในการสร้างเชื่อมเส้นทางถนน โดยพม่าได้ตอบรับที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีในต้นปีหน้า สำหรับเส้นทางเหนือ-ใต้นั้น จะให้ความสำคัญอันดับแรกกับการเชื่อมต่อถนนและรถไฟระหว่างยูนนานของจีนตอนใต้ ผ่านประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ประเทศไทย ไปยังคาบสมุทรมาเลย์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนว่า ขณะนี้ กลุ่มประเทศอาเซียนและจีนได้มีการทำความตกลงที่จะจัดตั้งเขตการค้าเสรีร่วมกันภายในอีก 10 ปีข้างหน้า และในส่วนของประเทศไทย ทั้งสองประเทศได้มีการทำงานร่วมกันในฐานะเป็น หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งเน้นการแสวงหาช่องทางใหม่ๆในความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงภาวะการค้าการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐฯว่า เป็นที่น่ายินดีว่า ในปี 2000 (พ.ศ.2543) นี้ สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ของไทยเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 31 หรือคิดเป็นมูลค่า 6.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯในไทยเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2001 คิดเป็นมูลค่า 991 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ไทยเป็นประเทศที่สหรัฐฯ มาลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับสองในกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งนี้ บริษัทอเมริกันในไทยมีบทบาทอย่างสำคัญในประเทศไทย ในการสร้างงานและช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของความเจริญเติบโต การเปิดกว้างของภูมิภาคเอเชีย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งที่น่าลงทุนมากที่สุดสำหรับนักธุรกิจสหรัฐฯ โดยการลงทุนในไทย จะสามารถสร้างงานและโอกาสให้กับประชากรไทยถึง 62 ล้านคน และยังรวมถึง 500 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต รวมถึงประชากรในจีน 1.3 ล้านคน ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ประเทศไทยซึ่งเป็นสังคมที่รักสงบ และมีความสมัครสมาน และยังเป็นหนึ่งในประเทศก่อตั้งของอาเซียน จึงหวังว่าจะแสดงบทบาทนำในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรือง และความมั่นคงในภูมิภาคต่อไป โดยความร่วมมือและเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2544 เวลา 18.15 น. พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกจากที่พัก Blair House ไปยังโรงแรม Ritz Carlton เพื่อเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลม CEO Roundtable และงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) และสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (USTBC) และ The Asia Society ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 250 คน ทั้งนี้ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) และสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (USTBC) และ The Asia Society ที่ได้สนับสนุนการจัดงานในวันนี้ และได้ให้โอกาสในการมากล่าวสุนทรพจน์แก่นักธุรกิจชั้นนำ บุคคลสำคัญในรัฐบาล รวมถึงสมาชิกของสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ รวมถึงการสูญเสียในชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนนับพัน ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน ประเทศไทยขอร่วมประณามในการก่อการร้ายดังกล่าวอย่างถึงที่สุด และยังได้ร่วมกับนานาชาติในการสนับสนุนการดำเนินการของสหรัฐฯ ในการต่อต้านการก่อการร้าย ตามข้อมติของสหประชาชาติ และนับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างแข็งขันร่วมกับพันธมิตรในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อการปราบปรามการก่อการร้าย รวมถึงการดำเนินการเพื่อการแก้ไขกฎหมายเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านการก่อการร้าย และในปัจจุบันประเทศไทยได้เป็นภาคีแล้ว 4 ฉบับ และในสัปดาห์หน้า ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะได้พบปะกับเลขาธิการสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยจะได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ( Convention for the Suppression of Financing of Terrorism) และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยของประเทศไทยในเรื่องมนุษยธรรม รัฐบาลไทยได้บริจาคข้าวสารจำนวน 3 พันตันเพื่อการบรรเทาทุกข์ทางด้านอาหารสำหรับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกัน และสภากาชาดไทยได้ร่วมบริจาคผ้าห่มจำนวน 1 หมื่นผืนด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลไทยในฐานะเพื่อนที่ดีของสหรัฐไม่เพียงแต่จะมุ่งมั่นในการให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯและสหประชาชาติเพื่อการกำจัดการก่อการร้ายทุกรูปแบบแล้ว แต่ยังเห็นว่าการก่อการร้ายไม่ควรที่จะบรรลุความสำเร็จในการสร้างความชะงักงันให้กับเศรษฐกิจโลกและทำลายความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ และรัฐบาลไทยได้เตรียมการที่จะปรึกษาหารือกับสหรัฐฯ เพื่อการแสวงหาหนทางและวิธีการต่างๆ เพื่อการสกัดกั้นจุดประสงค์การก่อการร้ายในอันที่จะทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการค้า การท่องเที่ยว หรือความสัมพันธ์ทางการทูต ดังนั้น ในการมาเยือนกรุงวอชิงตัน และการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันนี้ จุดประสงค์หลักสำคัญอันหนึ่งคือ เพื่อการแสวงหาหนทางและวิธีการในการตอบโต้อย่างสร้างสรรต่อความท้าทายของการก่อการร้ายที่มุ่งทำลายการดำเนินชีวิตอันเป็นปกติของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าการค้าโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ 11 กันยายน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซึ่งได้ตกต่ำลงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้เลวร้ายมากขึ้นอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ นักการเงินบางคนได้คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอาจเติบโตเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์กว่าในปีนี้ และปีหน้า และอาจต่ำสุดในรอบ 20 ปีก็ได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า แทนที่จะมีความหดหู่ต่อเหตุการณ์โลกดังกล่าว เราควรที่จะได้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อความท้าทายดังกล่าว ด้วยแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรเพื่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและการบิน โดยส่งผลต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเดินทาง ส่งผลให้สายการบินต่างๆ ประสบกับความล้มละลาย และผลกระทบที่เลวร้ายดังกล่าวย่อมเป็นจุดประสงค์หนึ่งของกลุ่มการก่อการร้ายที่ต้องการทำลายเสรีภาพในการเดินทางและการติดต่อระหว่างกัน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกร้องว่า หนทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 11 กันยายนคือ ความร่วมมือของสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และยุโรปในการดำเนินการร่วมกัน เพื่อการผ่อนปรนชั่วคราวในเรื่องอัตราการประกันภัยแก่สายการบินนานาชาติทุกสาย อันจะส่งผลประโยชน์ต่อทุกประเทศรวมถึงสหรัฐฯ ด้วย ในส่วนของการค้าไทย-สหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น ดังเช่น สินค้าที่ส่งจากไทยมาสหรัฐฯ ปัจจุบันมีความล่าช้าออกไปอีกอย่างน้อยสองวัน ขณะที่สินค้าที่ส่งมาทางเรือต้องใช้เวลาในการตรวจสอบความปลอดภัยจากเดิมเพียงหนึ่งชั่วโมงเป็น 10 วัน ซึ่งความล่าช้าที่เกิดขึ้นนี้ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเสนอว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไทยและสหรัฐฯ ควรที่จะพิจารณาร่วมมือกันในการจัดตั้งคลังสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว (agreed secure warehouse) โดยเป็นการดำเนินการที่ผ่านความเห็นชอบร่วมกันโดยสินค้าไทยจะต้องผ่านการตรวจสอบโดยหน่วยงานด้านการตรวจสอบในความปลอดภัยเพียงหน่วยงานเดียวก่อนที่จะส่งสินค้าออกไปทางเรือ โดยสินค้าดังกล่าวจะได้รับรองในความปลอดภัยตามมาตรฐานของสหรัฐฯ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการร่วมลงนามระหว่างไทยและสหรัฐฯ ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ทั้งในเรื่องการค้า การลงทุน การขนส่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกษตรกรรม ความตกลงดังกล่าวนับได้ว่าเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดในการดำเนินความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในศตวรรษใหม่ และประเทศไทยยังได้ลงนามในอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับสหรัฐฯ รวมถึงการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตเพื่อการให้หลักประกันว่าจะมีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ภายใต้กรอบความตกลงดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าไทยและสหรัฐฯ จะสามารถเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน (strategic partner) ในศตวรรษที่ 21 นี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณนักธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ ชั้นนำ ซึ่งได้ลงทุนและดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเกิดวิกฤตการณ์ในสหรัฐฯ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่มีต่อประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้มีการดำเนินการเพื่อการปฏิรูปทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค ขณะเดียวกันก็ได้มีพยายามที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้ประสบความสำเร็จมาอย่างก้าวหน้าในหลายเรื่อง เช่น นับตั้งแต่ปี 2542 และ 2543 ประเทศไทยเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ในระดับร้อยละ 4.2 และ 4.3 ตามลำดับ และแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าจะลดน้อยลง นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีการดำเนินมาตรการทางการเงิน และสามารถลดอัตราเงินเฟ้อได้จนถึงระดับร้อยละ 2.2 อัตราการแลกเปลี่ยนมีความคงที่และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นมีมากกว่า 31 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และขณะนี้หนี้เสียในภาคเอกชน (NPLs)อยู่ในระดับร้อยละ12 ของเงินกู้ทั้งหมด และลดลงเรื่อยๆ และการจัดตั้งบรรษัทเพื่อการบริหารสินทรัพย์ไทย ก็จะช่วยในการปรับโครงสร้างทางการเงินการบริหารของบริษัทเอกชนไทย เป็นต้น สำหรับในภาครัฐ รัฐบาลยังได้มีการดำเนินการในการปรับปรุงประสิทธิภาพทางด้านการจัดการ และระบบที่สามารถตรวจสอบได้ (accountability) รวมถึงนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งที่ผ่านมาความสำเร็จในการจำหน่ายหุ้นของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้มีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากเหตุการณ์ 11 กันยายน มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตลาดและการสร้างอุปสงค์ ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาคผ่านการใช้จ่ายของรัฐเป็นสิ่งที่จำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องเป็นไปเพื่อการปฏิรูป รวมถึงการสร้างความต้องการภายในประเทศในระดับรากหญ้า และการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวนี้ของรัฐบาลไทย จะเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาแบบคู่ขนาน (dual track development model) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่จะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเพื่อช่วยการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รัฐบาลจึงได้เน้นในเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจให้กับภาคการผลิตของไทย และการกระตุ้นความต้องการผ่านระบบธนาคารของรัฐและกองทุนหมู่บ้าน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก จะช่วยสร้างการจ้างงานและการเพิ่มอำนาจในการซื้อของประชากรไทย 62 ล้านคนในระดับรากหญ้า นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า “ เวลาเป็นของมีค่า และเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้” (time is money, and that time lost cannot be regained) ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้มีการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อการอำนวยความสะดวกสำหรับการขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศอาเซียน แม้ว่าจะประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ก็จำนวนประชากรรวมเกือบ 500 ล้านคน และยังเป็นตลาดใหญ่สำหรับกลุ่มประเทศสมาชิกและประเทศอื่นๆ นอกภูมิภาคด้วย และในอนาคต ภายใต้เขตการค้าเสรี อัตราภาษีต่างๆ กว่า 90 เปอร์เซ็นต์จะถูกยกเลิกไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน และช่วยพัฒนาขีดความสามารถทางการค้าด้วย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีความเชื่อมั่นว่า มีความจำเป็นที่ประเทศในเอเชียควรมีการเพิ่มพูนความร่วมมือให้ใกล้ชิดมากขึ้น ดังนั้น ไทยจึงได้เสนอแนวความคิดเรื่อง “Asia Cooperation Dialogue ” หรือ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของเอเชีย อันจะเป็นเวทีสำหรับผู้นำในการหารือร่วมกันในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเงิน ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้เอเชียเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากขึ้น สำหรับสหรัฐฯในอนาคต
ในเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของจีนนั้น นายกรัฐมนตรีเห็นว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทย เนื่องจากไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่การลงทุนจากต่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้นรวมถึงการลงทุนจากจีนด้วย ขณะนี้ ยังเป็นที่น่ายินดีว่า บริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ได้แก่ ฟอร์ด มอเตอร์ได้ตัดสินใจที่จะย้ายฐานการผลิตของบริษัทผลิตรถกระบะ Ranger ขนาดหนึ่งตัน มายังประเทศไทย เพื่อการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้ให้ความเห็นชอบในเรื่องมาตรการทางภาษีเพื่อเป็นการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุน โดยการเข้ามาจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค โดยเฉพาะการปรับลดภาษีนิติบุคคลจากอัตราร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 10 นอกจากนี้ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติโทรคมนาคม ซึ่งได้มีการกำหนดสัดส่วนของการถือครองหุ้นโดยบริษัทต่างชาติไว้ที่อัตราร้อยละ 25 นั้น รัฐบาลได้มีความตั้งใจที่จะปรับปรุงแก้ไขเพื่อการเพิ่มเพดานของการถือครองไว้ที่ร้อยละ 49 และจะได้มีการนำเสนอเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาแก้ไขทางกฎหมายต่อไป
สำหรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการค้าชายแดนและการจัดตั้งฐานการผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน และไทยยังสร้างเสริมความเข้มแข็งของประเทศเพื่อให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค และการสร้างเครือข่ายการขนส่งคมนาคมในภูมิภาค โดยเฉพาะเส้นทางตะวันออก-ตะวันตก หรือ East-West Corridor ซึ่งจะเชื่อมโยงจากประเทศไทย ผ่านลาว ไปยังเวียดนาม และท่าเรือน้ำลึกดานังทางตอนใต้ของทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ ไทยยังได้ริเริ่มให้มีการจัดตั้งความร่วมมือสามฝ่ายระหว่างอินเดีย พม่า และไทยในการสร้างเชื่อมเส้นทางถนน โดยพม่าได้ตอบรับที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีในต้นปีหน้า สำหรับเส้นทางเหนือ-ใต้นั้น จะให้ความสำคัญอันดับแรกกับการเชื่อมต่อถนนและรถไฟระหว่างยูนนานของจีนตอนใต้ ผ่านประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ประเทศไทย ไปยังคาบสมุทรมาเลย์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนว่า ขณะนี้ กลุ่มประเทศอาเซียนและจีนได้มีการทำความตกลงที่จะจัดตั้งเขตการค้าเสรีร่วมกันภายในอีก 10 ปีข้างหน้า และในส่วนของประเทศไทย ทั้งสองประเทศได้มีการทำงานร่วมกันในฐานะเป็น หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งเน้นการแสวงหาช่องทางใหม่ๆในความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงภาวะการค้าการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐฯว่า เป็นที่น่ายินดีว่า ในปี 2000 (พ.ศ.2543) นี้ สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ของไทยเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 31 หรือคิดเป็นมูลค่า 6.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯในไทยเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2001 คิดเป็นมูลค่า 991 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ไทยเป็นประเทศที่สหรัฐฯ มาลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับสองในกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งนี้ บริษัทอเมริกันในไทยมีบทบาทอย่างสำคัญในประเทศไทย ในการสร้างงานและช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของความเจริญเติบโต การเปิดกว้างของภูมิภาคเอเชีย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งที่น่าลงทุนมากที่สุดสำหรับนักธุรกิจสหรัฐฯ โดยการลงทุนในไทย จะสามารถสร้างงานและโอกาสให้กับประชากรไทยถึง 62 ล้านคน และยังรวมถึง 500 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต รวมถึงประชากรในจีน 1.3 ล้านคน ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ประเทศไทยซึ่งเป็นสังคมที่รักสงบ และมีความสมัครสมาน และยังเป็นหนึ่งในประเทศก่อตั้งของอาเซียน จึงหวังว่าจะแสดงบทบาทนำในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรือง และความมั่นคงในภูมิภาคต่อไป โดยความร่วมมือและเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-