วันนี้ (26 ต.ค.58) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 6/2558 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีเผยว่า ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการสำรวจคลังข้าว และความคืบหน้าในการระบายข้าว ที่มีมาตรการรัดกุมที่สุดในหลักการคือทำให้ราคาข้าวปัจจุบันในท้องตลาดและข้าวในฤดูกาลที่จะออกมาใหม่ ราคาไม่ตก จึงจะต้องมีแนวทางระบายข้าวในแต่ละประเภท โดยหลักแล้วมีข้าวที่อยู่ในเกณฑ์ดีส่วนหนึ่งประมาณ 9 ล้านตัน ส่วนที่สองที่ไม่สามารถแยกข้าวได้ประมาณ 2 ล้านล้านตัน และข้าวที่เสื่อมอีกประมาณ 2 ล้านตันที่รัฐจะต้องตรวจสอบใหม่ เพราะเข้าไปปนกันอยู่มาก รื้อไม่ได้และมีการรมยาด้วย จึงต้องนำข้าวแต่ละประเภทมาดู สรุปได้ว่าข้าวในส่วนที่เสียหายมากควรจะต้องเร่งระบายออก เพราะข้าวพวกนี้ไม่สามารถรับประทานได้ แต่จะต้องทำให้เกิดความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะทดลองนำข้าวออกมาจำหน่ายบางส่วนก่อน โดยเฉพาะในคลังที่จำนวนปริมาณน้อย ๆ และอาจจะดูเรื่องปลายข้าวด้วย ซึ่งทีดีอาร์ไอและนายกสมาคมข้าวฯ ที่เป็นคณะกรรมการ นบข. ก็เห็นด้วย และเป็นห่วงว่าราคาข้าวอาจจะตก แต่ไม่ตกแน่นอนเพราะจะนำส่วนน้อยออกมาก่อน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำหรับในส่วนของข้าวที่อยู่ในเกณฑ์ดีจำนวน 9 ล้านตัน จะต้องตรวจสอบข้าวก่อน และในส่วนของข้าวฤดูกาลใหม่ที่จะทำอย่างไร โดยสิ่งที่เป็นปัญหามากในวันนี้คือเรื่องการตรวจสอบการระบายข้าว รวมถึงการติดเรื่องคดีต่าง ๆ จึงต้องขออนุมัติให้มีการจำหน่ายข้าวได้ในบางส่วนที่เสียแล้ว เพราะถ้าเก็บต่อไปจะทำให้ของเก่าที่ใกล้เสียก็จะเสียเพิ่ม ซึ่งเราไม่ต้องการให้ข้าวเสียเพิ่ม ที่ผ่านมาติดด้วยข้อกฎหมาย ไม่ใช่ว่าจะช่วยใครหรือไม่ช่วยใคร แต่เป็นไปตามข้อเท็จจริง นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาที่ได้คุยกันแล้วว่า ถ้าเข้าแทรกแซงราคาตลาดผลผลิตทางการเกษตรจะมีผลกระทบกับงบประมาณแผ่นดิน เพราะต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินในการที่จะมาทดรองจำนำข้าว วันนี้ได้มีการต่อระยะเวลาในการใช้เงินก้อนนี้อีก เป็นปัญหาพันกันไปหมด
“ถ้าถามประชาชนตอนนี้ ผมว่าเขาก็เริ่มเข้าใจว่าเรากำลังทำทุกอย่าง วันนี้ได้หารือกันต่อไปว่าเราจะแก้ปัญหาข้าวทั้งระบบได้อย่างไร ต้องปฏิรูปใหม่ทั้งระบบ เริ่มจากเอาตลาดเป็นตัวกำหนดก่อน ถึงจะไปสู่ว่าจะปลูกเท่าไร อย่างไร ที่ไม่ปลูกจะไปทำอะไรแทน การตลาดจะว่าอย่างไร เพราะฉะนั้นผมอยากให้สังคมและประชาชนเข้าใจว่ารัฐบาลนี้พยายามทุกอย่าง เพื่อจะแก้ปัญหาไม่ให้เกิดผลกระทบกับรัฐบาลต่อไปด้วย ถ้าวันหน้าเรายังแก้ปัญหานี้ไม่จบ แล้วมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง เขาก็ต้องเจอปัญหานี้ต่อไป แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม จะเห็นว่ารัฐบาลนี้พยายามทำทุกอย่าง ไม่ได้รังเกียจรังงอนใครเลย นักการเมือง วันหน้าท่านก็เข้ามากันอยู่แล้ว แต่ถ้าวันนี้พูดจาเสียหายกันไปเรื่อยจะทำอะไรไม่ได้เลย แล้ววันหน้าท่านก็ต้องมาเจอปัญหาเหล่านี้ ผมถามว่าแล้วใครจะแก้ให้ท่าน แล้วใครที่เดือดร้อน ประชาชนใช่ไหม” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวที่ถามว่า วันนี้ปัญหาข้าวดังกล่าวส่งผลต่อการสรุปยอดตัวเลขความเสียหายอย่างไร ว่า “มีผล แต่เมื่อมีผลแล้วเป็นความผิดของผมหรือ ไม่ใช่ ตัวเลขถ้าเวลาทอดไปเรื่อย ๆ ขายข้าวไม่ได้ การเปิดประมูลครั้งที่แล้วที่ขายได้เจ้าเดียวอะไรทำนองนี้ ปัญหาอยู่ที่ว่ากำหนดราคาขั้นต่ำไปแล้ว ปรากฏว่าไม่มีคนเสนอ จึงต้องหาวิธีการระบายข้าวต่อไปว่าจะทำอย่างไร เอาราคาข้าวสูงสุดหรือไม่ เพราะถ้าปล่อยไว้ก็ยิ่งไม่ได้ไปจากเดิม หลายคนก็มาตีว่ารัฐบาลนี้ขายข้าวไม่เป็นหรือเปล่า ซึ่งไม่ใช่ ตราบใดที่ปริมาณข้าวในสต๊อกมีมากในหลายประเทศ อย่างไรราคาข้าวก็ไม่ขึ้น และยิ่งเขารู้ว่าไทยมีข้าวมากขนาดนี้จะทำอย่างไร ข้าวกรอบใหม่ก็กำลังจะออกมาอีก วันนี้เรื่องการตลาดข้าว ก็มีการไปเปิดตลาดใหม่มามาก ได้สัญญาส่งข้าวเพิ่มเติม วันนี้กำลังเร่งเรื่องสัญญากับจีน ฟิลิปปินส์ และน่าจะเปิดตลาดเพิ่มทางด้านแอฟริกาได้เพิ่มขึ้น”
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอความร่วมมือให้เกษตรกรให้ความร่วมมือรัฐว่า ถ้าจะขอเงินอุดหนุนไปเรื่อย ๆ จะเกิดปัญหาไปตลอด โดยวันนี้ต้องร่วมมือในเรื่องการลดต้นทุน การรวมแปลงใหญ่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้น้ำ การปลูกข้าวอาจปลูกไม่ได้ตลอดทั้งปี ช่วงที่ข้าวมีราคาตกก็ขอให้เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง พืชหลายชนิดที่ยังขาดแคลน ต้องนำเข้า ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังกำลังแก้ไขอยู่
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปประชุมหาทางออกในเรื่องยางารา ซึ่งคงจะได้ข้อยุติ โดยจะได้ดูแลเรื่องการพัฒนาสวนยาง ดูแลคนกรีดยาง จะได้ไม่เกิดปัญหาอีก แต่คงจะใช้คำว่าเป็นการชดเชยส่วนต่างอีกไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย วันนี้ พ.ร.บ.การยางฯ ออกมาแล้ว
ด้านนางสาวชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การระบายข้าวเกรดซี สืบเนื่องจากการประชุม นบข. ครั้งที่ 5/2558 กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานว่ามีข้าวดีและข้าวเสียปนกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องไปตรวจสภาพคลังข้าวว่าอันไหนอยู่ในสภาพที่สามารถแยกข้าวได้ อันไหนอยู่ในสภาพที่แยกไม่ได้ เพื่อที่จะได้นำเสนอ นบข. พิจารณาแนวทางดำเนินการต่อไป ซึ่งขณะนี้ตรวจคลังข้าวเสร็จไปแล้ว 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ยังตรวจไม่เสร็จเนื่องจากติดแผนการรมยาข้าว ยังเข้าไปตรวจไม่ได้ ต้องรอให้การรมยาข้าวเรียบร้อยก่อน สำหรับคลังข้าวที่ตรวจเสร็จแล้ว 95 เปอร์เซ็นต์ มีจำนวน 1,003 คลัง ปริมาณข้าว 9 ล้านตัน เป็นข้าวที่ปนกันอยู่ระหว่างข้าวดีกับข้าวไม่ดี ดูสภาพคลังแล้วสามารถแยกได้ ซึ่งหากแยกข้าวดีออกมาได้ก็จะสามารถจัดการกับของเสียที่จะนำไปใช้อุตสาหกรรมที่เหมาะสม แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงนี้เพราะยังไม่อยากทำลายตลาดข้าวฤดูใหม่ที่กำลังจะออก โดยจะดำเนินการหลังจากข้าวฤดูใหม่หมดไปจากตลาดแล้ว ส่วนข้าวที่ปนกันอยู่ไม่มีทางแยกออกมาได้ ตรวจสอบพบจำนวน 176 คลัง ปริมาณข้าวประมาณ 2 ล้านตัน ที่เมื่อแยกไม่ได้ก็ต้องมาไล่ดูว่าคลังไหน มีสภาพเป็นอย่างไร สามารถทำการระบายประมูลออกไปอย่างไร เข้าสู่อุตสาหกรรม ซึ่ง นบข. เห็นชอบในหลักการให้ไปดำเนินการเพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล และไม่ทำให้ข้าวเสื่อมลงไปกว่านี้ ให้ไปดำเนินการก่อน แต่ไม่สามารถจัดการได้ทันทีอย่างที่ทุกคนอยากเห็นเพราะมีข้าวฤดูใหม่ออกมาด้วย หากระบายของที่มีอยู่ออกไปก็จะไปกดราคาข้าวฤดูใหม่ ฉะนั้นค่อนข้างยากมาก รัฐบาลต้องดูแลข้าวในปัจจุบันก่อน และจัดการข้าวเสียที่เข้าสู่อุตสาหกรรม ดูในคลังที่สามารถจัดการได้ก่อน โดยจะมีมาตรการควบคุมดูแลว่า ข้าวทุกเม็ดไม่เข้าสู่ระบบการค้าปกติ ซึ่งคณะอนุกรรมการระบายข้าวและคณะทำงานที่ดูแลเรื่องนี้จะไปดูในรายละเอียด
ที่มา: http://www.thaigov.go.th