แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในช่วงทรงตัว-ขาลง แต่รัฐบาลจะไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์ของประเทศเป็นไปตามแนวโน้มของสภาวะ เศรษฐกิจโลก เพราะผลที่ได้รับจะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป โดยจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนจากภาครัฐ ซึ่งการลงทุนด้านคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ (Mass Transit) จะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภค การจ้างงาน ช่วยกระจายรายได้ สร้างเสถียรภาพของระดับราคาสินค้า และดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นประเทศไทยมีการลงทุนในด้านนี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณเรื่องอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นการใช้งบประมาณ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ มีผลตอบแทนทางการเงินและทางเศรษฐกิจน้อยมาก มุ่งแต่รักษาคะแนนเสียง
สำหรับข้อห่วงใยเรื่องการรั่วไหลของเงินงบประมาณและการก่อหนี้ผูกพันในระยะยาวนั้น ขอเรียนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่สุจริต ตรวจสอบได้ โดยได้นำ “สัญญาคุณธรรม” หรือ Integrity Pact มาใช้ ซึ่งหน่วยงานของรัฐในฐานะผู้จัดซื้อจัดจ้าง เอกชนที่เข้ามาประมูลงาน และผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพนั้นหรือตัวแทนภาคประชาสังคม ร่วมลงนามในสัญญาดังกล่าวทั้ง 3 ฝ่าย ป้องกันการรับหรือให้สินบน และเปิดเผยข้อมูลในทุกขั้นตอน ส่วนโครงการใดที่มีเงินลงทุนเกินกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป หน่วยงานของรัฐจะต้องรายงานผลการดำเนินงานแก่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีวิธีบริหารจัดการงบประมาณในการลงทุน โดยหากโครงการใดที่รัฐดำเนินการเองจะใช้การผูกพันงบประมาณหลายปี ไม่ใช่การจ่ายเงินมากเพียงครั้งเดียว บางโครงการเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน และบางโครงการเอกชนจะเข้ามาลงทุนทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่ใช่การก่อหนี้ที่เป็นภาระของประเทศ แต่เป็นการก่อหนี้ที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศในระยะยาว
“รัฐบาลขอขอบคุณสื่อมวลชนและภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้เสนอแนะความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ท่านนายกรัฐมนตรีมีนโยบายชัดเจนที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งในภูมิภาค และได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ โดยรัฐบาลดำเนินการทุกอย่างด้วยความรอบรอบ และคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก”
ที่มา: http://www.thaigov.go.th