รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสัมพันธ์ไทยและเยอรมนีซึ่งมีมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2555 ทั้งสองประเทศได้เฉลิมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ 150 ปี ด้านเอกอัครราชทูตเยอรมนีกล่าวว่า เยอรมนีเห็นถึงความก้าวหน้าของประเทศไทย ซึ่งมีแนวทางและแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศที่โดดเด่นอย่างมากในปัจจุบัน และเยอรมนีพร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือกับไทยในทุกๆ ด้าน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตเยอรมนีได้หารือกันในด้านการศึกษา โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีนักเรียนและนักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่เยอรมนีทุกๆปี นอกจากนี้ ประเทศไทยได้พยายามปรับระบบการศึกษา ซึ่งได้นำตัวอย่างมาจากประเทศเยอรมนี โดยเฉพาะในด้านอาชีวศึกษา ซึ่งไทยและเยอรมนีได้มีการลงนามในบันทึกความตกลง (MOU) เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตร ตลอดจนการฝึกอบรมแรงงาน รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวชมระบบการศึกษาของเยอรมนี ซึ่งนักศึกษาเกือบทุกคนที่จบจากสถาบันในประเทศเยอรมนีล้วนแต่มีคุณภาพทั้งสิ้น
เอกอัครราชทูตเยอรมนีและรองนายกรัฐมนตรี ยังหารือกันถึงเรื่องการบริการทางการแพทย์ ซึ่งไทยได้เรียนรู้รูปแบบและนำมาประยุกต์ปรับใช้ให้เข้ากับการบริการของไทย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับชาวต่างชาติที่จะเข้ามารับบริการในประเทศ นอกจากนี้ มีความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนีในธุรกิจยารักษาโรคด้วย
สำหรับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังพัฒนาระบบดิจิตอล เพื่อสร้างความเจริญในการเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสารให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ รวมถึงการพัฒนาด้านความมั่นคงของข้อมูล และเศรษฐกิจ ซึ่งเยอรมนีเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก จึงต้องการให้เยอรมนีถ่ายทอดความรู้ในด้านดังกล่าว
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังหารือกันถึงเรื่องพลังงานหมุนเวียนและพลังงานแทน โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทนแสงอาทิตย์เป็นอย่างมาก และอยากเชิญให้เยอรมนีเข้ามาลงทุนในด้านดังกล่าว ซึ่งด้านเอกอัครราชทูตเยอรมนี กล่าวว่า ยินดีและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับไทยในเรื่องนี้ เพราะพลังงานถือเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในอนาคต
ที่มา: http://www.thaigov.go.th