วันนี้ เมื่อเวลา 12.30 น. พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายเค อาร์ นารายานัน (Mr. K. R. Narayanan) ประธานาธิบดีอินเดีย ณ ห้อง North Drawing Room ราษฎร์ปติภาวัน ที่พำนักประธานาธิบดี สรุปสาระสำคัญของการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ได้ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนอินเดียอย่างอบอุ่น ซึ่งประธานาธิบดีได้กล่าวตอบว่า การมาเยือนอินเดียของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ มีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่ง พร้อมกับได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ได้ให้การสนับสนุนในการ จัดการประชุมสุดยอดระหว่างอาเซียนและอินเดียขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าประเทศในเอเชียควรเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น เนื่องจากภูมิภาคเอเชียมีประชากรและเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกินกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการเดินทางไปเยี่ยมชมเมืองบังคาลอร์ว่า มีความชื่นชมในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงด้านอวกาศและอุตสาหกรรมเครื่องบิน ซึ่งหากไทยและอินเดียสามารถร่วมมือกันในการพัฒนาในอุตสาหกรรมดังกล่าวร่วมกันได้ ก็จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพของภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้หยิบยกเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศในเอเชีย (Asia Cooperation Development —ACD) โดยเห็นว่าควรจะได้มีการจัดตั้งกลุ่มแกนนำ (core group) ซึ่งประธานาธิบดีอินเดียแสดงความเห็นว่า เป็นข้อริเริ่มที่สำคัญของไทย ซึ่งในอดีตอินเดียก็เคยได้มีบทบาทในการผลักดันให้มีกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศเช่นกัน แต่เป็นหารือทางด้าน การเมือง สำหรับกลุ่มความร่วมมือ ACD นี้ จะมีความสำคัญต่อทางด้านเศรษฐกิจ
สำหรับเรื่องการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Area) นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายคือไทยและอินเดียมีศักยภาพร่วมกันได้ โดยอาจเริ่มต้นจากการเปิดเสรีเป็นรายสาขาก่อน สำหรับสินค้าที่ไม่ปัญหา ซึ่งประธานาธิบดีได้แสดงความเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี และในชั้นนี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันจัดตั้งทีมงานระดับเจ้าหน้าที่เพื่อการหารือในรายละเอียดต่อไป
ในเรื่องความร่วมมือด้านการค้าข้าว หรือ Rice Pool Arrangement นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเห็นว่า เพื่อประโยชน์ของชาวนาไทยและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก จึงน่าจะมีความร่วมมือกันเพื่อหลีกเหลี่ยงการตัดราคา และขณะนี้เวียดนามได้ทำความตกลงร่วมกับไทยแล้ว ซึ่งหากประเทศผู้ผลิตข้ารายใหญ่อื่นๆ ของโลก เช่น อินเดีย ปากีสถานและสหรัฐ ฯ สามารถเข้ามาร่วมกันในความตกลงดังกล่าว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ในโอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ตอบข้อซักถามของประธานาธิบดีในเรื่องการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของไทยว่า ขณะนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และการแก้ปัญหาของประชาชนในระดับรากหญ้า ทั้งนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้แม้ว่าจะไม่สูงมากนัก ทั้งนี้ คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 2 ในปีนี้
ในการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ไทยและอินเดียน่าจะได้มีการพัฒนาและขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นลดลง แต่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยจากยุโรปยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศเกินกว่าร้อยละ 6 ของ GDP ซึ่งไทยและอินเดียอาจพิจารณาร่วมกันในการขยายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในลักษณะเป็น Package Tour ระหว่างจังหวัดภูเก็ตของไทยกับรัฐในทะเลอันดามันของอินเดีย เป็นต้น
นายกรัฐมนตรียังได้หยิบยกเรื่อง การสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างอินเดีย-พม่า-ไทย จากเมืองแม่สอดของไทย ผ่านเมียวดีของพม่า มายังรัฐอัสสัมของอินเดียว่า ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะทำให้มีการคมนาคมเดินทางจากไทยมาอินเดียได้สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ไทยและอินเดียมีรากฐานที่คล้ายคลึงกันทั้งทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงน่าที่จะได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันได้มากขึ้นด้วย
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ได้ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนอินเดียอย่างอบอุ่น ซึ่งประธานาธิบดีได้กล่าวตอบว่า การมาเยือนอินเดียของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ มีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่ง พร้อมกับได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ได้ให้การสนับสนุนในการ จัดการประชุมสุดยอดระหว่างอาเซียนและอินเดียขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าประเทศในเอเชียควรเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น เนื่องจากภูมิภาคเอเชียมีประชากรและเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกินกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการเดินทางไปเยี่ยมชมเมืองบังคาลอร์ว่า มีความชื่นชมในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงด้านอวกาศและอุตสาหกรรมเครื่องบิน ซึ่งหากไทยและอินเดียสามารถร่วมมือกันในการพัฒนาในอุตสาหกรรมดังกล่าวร่วมกันได้ ก็จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพของภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้หยิบยกเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศในเอเชีย (Asia Cooperation Development —ACD) โดยเห็นว่าควรจะได้มีการจัดตั้งกลุ่มแกนนำ (core group) ซึ่งประธานาธิบดีอินเดียแสดงความเห็นว่า เป็นข้อริเริ่มที่สำคัญของไทย ซึ่งในอดีตอินเดียก็เคยได้มีบทบาทในการผลักดันให้มีกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศเช่นกัน แต่เป็นหารือทางด้าน การเมือง สำหรับกลุ่มความร่วมมือ ACD นี้ จะมีความสำคัญต่อทางด้านเศรษฐกิจ
สำหรับเรื่องการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Area) นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายคือไทยและอินเดียมีศักยภาพร่วมกันได้ โดยอาจเริ่มต้นจากการเปิดเสรีเป็นรายสาขาก่อน สำหรับสินค้าที่ไม่ปัญหา ซึ่งประธานาธิบดีได้แสดงความเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี และในชั้นนี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันจัดตั้งทีมงานระดับเจ้าหน้าที่เพื่อการหารือในรายละเอียดต่อไป
ในเรื่องความร่วมมือด้านการค้าข้าว หรือ Rice Pool Arrangement นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเห็นว่า เพื่อประโยชน์ของชาวนาไทยและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก จึงน่าจะมีความร่วมมือกันเพื่อหลีกเหลี่ยงการตัดราคา และขณะนี้เวียดนามได้ทำความตกลงร่วมกับไทยแล้ว ซึ่งหากประเทศผู้ผลิตข้ารายใหญ่อื่นๆ ของโลก เช่น อินเดีย ปากีสถานและสหรัฐ ฯ สามารถเข้ามาร่วมกันในความตกลงดังกล่าว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ในโอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ตอบข้อซักถามของประธานาธิบดีในเรื่องการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของไทยว่า ขณะนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และการแก้ปัญหาของประชาชนในระดับรากหญ้า ทั้งนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้แม้ว่าจะไม่สูงมากนัก ทั้งนี้ คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 2 ในปีนี้
ในการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ไทยและอินเดียน่าจะได้มีการพัฒนาและขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นลดลง แต่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยจากยุโรปยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศเกินกว่าร้อยละ 6 ของ GDP ซึ่งไทยและอินเดียอาจพิจารณาร่วมกันในการขยายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในลักษณะเป็น Package Tour ระหว่างจังหวัดภูเก็ตของไทยกับรัฐในทะเลอันดามันของอินเดีย เป็นต้น
นายกรัฐมนตรียังได้หยิบยกเรื่อง การสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างอินเดีย-พม่า-ไทย จากเมืองแม่สอดของไทย ผ่านเมียวดีของพม่า มายังรัฐอัสสัมของอินเดียว่า ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะทำให้มีการคมนาคมเดินทางจากไทยมาอินเดียได้สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ไทยและอินเดียมีรากฐานที่คล้ายคลึงกันทั้งทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงน่าที่จะได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันได้มากขึ้นด้วย
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-