นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ได้เคยสั่งการไปว่า ประชาชนจะต้องรู้ว่าต้นทุนน้ำมีมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่เฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่เท่านั้นแต่รวมถึงน้ำท่า และน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็กที่รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้กับท้องถิ่นในการที่จะจัดเตรียมไว้ในแต่ละพื้นที่ด้วย และต้องมีการสำรวจและตรวจสอบให้ชัดเจนว่าการดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่มีอยู่หรือไม่ ทั้งนี้ จากที่ได้มีการสำรวจพบว่าช่วงที่มีการปลูกข้าวนาปีไปแล้วมีการเริ่มทำนาปรังอีกครั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานว่ามีการทำนาปรังจริงในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา ประมาณ 190,000 ไร่ แต่การทำนาปรังดังกล่าวมีเหตุที่ยอมรับได้ โดยระบุว่าฝนที่ตกลงมายังมีน้ำขังอยู่ในบริเวณคันนาจึงสามารถที่จะทำนาได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงว่าน้ำดังกล่าวจะอยู่ตลอดจน 120 วัน ที่เกษตรกรปลูกข้าวหรือไม่ เพราะฉะนั้น การบริหารจัดการน้ำและมาตรการในการแก้ไขปัญหาการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท การจัดซื้อจัดจ้างโครงการของรัฐไม่เกิน 1 ล้านบาท นั้น ขอให้กระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องไปบูรณาการร่วมกันก่อนแถลงเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนอย่างครบทั้งวงจร โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแล
ที่มา: http://www.thaigov.go.th