ในวันที่ 15 ธันวาคม 2544 เวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Blair House ซึ่งเป็นบ้านพักรับรองของสหรัฐฯ นายแอนโธนี วิลเลียมส์ (Anthony Williams) นายกเทศมนตรีของกรุงวอชิงตัน ได้มอบคำประกาศ (Proclamation) ของมลรัฐโคลัมเบียแก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อันเป็นสัญลักษณ์ที่มอบให้แก่แขกเมืองของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ภายหลังพิธีมอบคำประกาศดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอบขอบคุณในการต้อนรับอันอบอุ่น และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า กรุงเทพมหานครและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ได้มีสายสัมพันธ์ต่อกันมาอย่างยาวนานถึง 40 ปี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1833 (พ.ศ. 2376) เมื่อทั้งสองประเทศได้มีการทำสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ร่วมกัน (Treaty of Amity and Commerce) ซึ่งนับเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่สหรัฐฯ ได้ทำกับประเทศเอเชีย และลงนามโดยประมุขของทั้งสองประเทศ
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในโอกาสนี้ด้วยว่า จากกรณีเหตุการณ์การก่อการร้ายในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนชาวไทยและชาวอเมริกัน ได้ร่วมมือร่วมใจกันในการแสดงออกถึงการต่อสู้กับการก่อการร้ายสากลและอาชญากรรมข้ามชาติในทุกรูปแบบ รัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอร่วมแสดงความเสียใจกับชาวอเมริกัน ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี และนิวยอร์ก รวมถึงชาวอเมริกันทั้งประเทศต่อการสูญเสียชีวิตของผู้คนนับพันและเราขอประนามการกระทำ การก่อการร้ายดังกล่าวอย่างถึงที่สุด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ในการพบปะกับนายโดนัลด์ รัมส์เฟลด์ (Donald Rumsfeld) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2544 (ตามเวลาท้องถิ่น) นายกรัฐมนตรีได้แจ้งยืนยันถึงความมั่นใจและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในอันที่จะให้การสนับสนุนที่สามารถเป็นไปได้ในทุกรูปแบบ (all possible supports) ในฐานะที่เป็นภาคีของสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ดังกล่าว แก่ประชาคมนานาชาติในการต่อต้านการก่อการร้าย และจะยืนอยู่เคียงข้างกับสหรัฐฯในการนำตัวผู้รับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว มาพิจารณาลงโทษ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะได้ยืนยันในเรื่องนี้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้งหนึ่งในการพบปะหารือร่วมกัน ทั้งนี้ ในการพบปะหารือกับผู้นำสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็นที่ไทยและสหรัฐฯจะต้องช่วยกันหาหนทางที่จะสร้างเสริมความมั่นคง และฟื้นฟูความมั่นใจให้กับนานาชาติ ให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่เหตุการณ์ 11 กันยายน ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชนชาววอชิงตัน ดี.ซี เมืองหลวงอันสวยงามและน่าอยู่ของชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่เป็นทั้งเพื่อนและพันธมิตรของประเทศไทยอีกด้วย
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอบขอบคุณในการต้อนรับอันอบอุ่น และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า กรุงเทพมหานครและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ได้มีสายสัมพันธ์ต่อกันมาอย่างยาวนานถึง 40 ปี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1833 (พ.ศ. 2376) เมื่อทั้งสองประเทศได้มีการทำสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ร่วมกัน (Treaty of Amity and Commerce) ซึ่งนับเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่สหรัฐฯ ได้ทำกับประเทศเอเชีย และลงนามโดยประมุขของทั้งสองประเทศ
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในโอกาสนี้ด้วยว่า จากกรณีเหตุการณ์การก่อการร้ายในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนชาวไทยและชาวอเมริกัน ได้ร่วมมือร่วมใจกันในการแสดงออกถึงการต่อสู้กับการก่อการร้ายสากลและอาชญากรรมข้ามชาติในทุกรูปแบบ รัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอร่วมแสดงความเสียใจกับชาวอเมริกัน ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี และนิวยอร์ก รวมถึงชาวอเมริกันทั้งประเทศต่อการสูญเสียชีวิตของผู้คนนับพันและเราขอประนามการกระทำ การก่อการร้ายดังกล่าวอย่างถึงที่สุด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ในการพบปะกับนายโดนัลด์ รัมส์เฟลด์ (Donald Rumsfeld) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2544 (ตามเวลาท้องถิ่น) นายกรัฐมนตรีได้แจ้งยืนยันถึงความมั่นใจและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในอันที่จะให้การสนับสนุนที่สามารถเป็นไปได้ในทุกรูปแบบ (all possible supports) ในฐานะที่เป็นภาคีของสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ดังกล่าว แก่ประชาคมนานาชาติในการต่อต้านการก่อการร้าย และจะยืนอยู่เคียงข้างกับสหรัฐฯในการนำตัวผู้รับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว มาพิจารณาลงโทษ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะได้ยืนยันในเรื่องนี้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้งหนึ่งในการพบปะหารือร่วมกัน ทั้งนี้ ในการพบปะหารือกับผู้นำสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็นที่ไทยและสหรัฐฯจะต้องช่วยกันหาหนทางที่จะสร้างเสริมความมั่นคง และฟื้นฟูความมั่นใจให้กับนานาชาติ ให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่เหตุการณ์ 11 กันยายน ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชนชาววอชิงตัน ดี.ซี เมืองหลวงอันสวยงามและน่าอยู่ของชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่เป็นทั้งเพื่อนและพันธมิตรของประเทศไทยอีกด้วย
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-