วันนี้ (๔ พ.ย. ๕๘) เวลา ๑๔.๐๐ น. พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด "โครงการผู้สูงวัยห่วงหัวลูกหลาน” พร้อมมอบหมวกนิรภัยให้กับตัวแทนเด็กและเยาวชน เพื่อเป็นการแสดงความห่วงใยของผู้สูงอายุ ที่มีต่อลูกหลาน เป็นการสานต่อความสัมพันธ์และแสดงออกถึงความห่วงใยที่มีต่อลูกหลานในเรื่องของความปลอดภัยในการโดยสารรถจักรยานยนต์ ณ ห้องประชุมชั้น ๒ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากรายงานสถิติอุบัติเหตุขององค์การอนามัยโลกปีล่าสุด พบว่า ประเทศไทย มีอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สูงเป็นอันดับ ๒ ของโลก และเป็นอันดับ ๑ ในกลุ่มอาเซียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๖.๒ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุมาจากการใช้ยานพาหนะรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ได้แก่กลุ่มเด็กเยาวชน กลุ่มผู้เมาสุรา และไม่สวมหมวกนิรภัย สอดคล้องกับผลสำรวจของมูลนิธิไทยโรดส์ ปี พ.ศ.๒๕๕๖ พบว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยมีอัตราการสวมหมวกนิรภัยจำนวนน้อย โดยกลุ่มผู้ใหญ่มีอัตราสวมหมวกนิรภัยร้อยละ ๔๓ และในกลุ่มเด็กเยาวชนมีอัตราสวมหมวกนิรภัยร้อยละ ๗ จากปัญหาดังกล่าวชมรมคนห่วงหัวในมูลนิธิเมาไม่ขับ ได้ร่วมกับสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ ในกลุ่มบริษัท เอไอจีประเทศไทย จัด "โครงการผู้สูงวัยห่วงหัวลูกหลาน” วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สูงอายุแสดงออกถึงความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลาน เด็ก เยาวชน ในเรื่องของความปลอดภัยในการโดยสารรถจักรยานยนต์ ด้วยการมอบหมวกนิรภัยให้เด็กและเยาวชนที่นั่งซ้อนท้ายและขับขี่รถจักยานยนต์ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางและลดการบาดเจ็บ สูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ และเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้สูงอายุ
"โครงการนี้จะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในสถาบันครอบครัวไทย และขอให้ทุกคนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ด้วยการรณรงค์ให้สวมหมวกนิรภัยก่อนขับขี่และซ้อนท้ายทุกครั้ง เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจดูแลด้านเด็กและเยาวชน ขอชื่นชมการจัดโครงการนี้ และขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป” พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวท้าย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th