ตามที่ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายด้านการควบคุมทางศุลกากร และปกป้องสังคม จึงให้เจ้าหน้าที่ประจำท่าอากาศยานนานาชาติโดยเฉพาะท่าอากาศยานที่มีความเสี่ยงเข้มงวดในการสกัดกั้น ป้องกัน และปราบปรามการลักลอบยาเสพติดให้โทษประเภทโคเคนจากทวีปอเมริกาใต้โดยผู้ลักลอบชาวรัสเซียและยุโรปตะวันออกเข้าสู่ประเทศไทย จึงสั่งการให้ นายชูชัย อุดมโภชน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร นายอวยชัย กุลทิพย์มนตรี ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ ๑นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม นางสาวอัจฉรา ลอตินันทน์ นายด่านศุลกากรเกาะสมุย นายบุญมา สิริธรังศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมทางศุลกากรพื้นที่ภาคที่ ๑ นางสาวพินิตา ใจแก้ว ผู้อำนวยการส่วนบริการศุลกากร นายธาดา ชุมไชโย ผู้อำนวยการส่วนสืบสวนปราบปราม ๓ และนายเดชา วิชัยดิษฐ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปรามที่ ๑ ส่วนสืบสวนปราบปราม ๓ ดำเนินการวางแผนจับกุมกลุ่มขบวนการขนยาเสพติดข้ามชาติ
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ด่านศุลกากรเกาะสมุย สำนักงานศุลกากรภาคที่ ๑ สำนักสืบสวนและปราบปราม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และตำรวจปราบปรามยาเสพติด เกาะสมุย นำโดย นายมานิต วงศ์แสนประเสริฐ หัวหน้าฝ่ายควบคุมและตรวจสอบทางศุลกากร ด่านศุลกากรเกาะสมุย กับพวก ได้ตรวจสอบสัมภาระของผู้โดยสารที่ตกค้าง จำนวน ๒ ใบ ที่เจ้าหน้าที่สายการบินซิลค์แอร์ได้นำมาให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบก่อนนำไปส่งให้ผู้โดยสารตามสถานที่นัดหมาย ณ Samui Diving Resort ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบสัมภาระด้วยเครื่องเอ็กซเรย์พบว่า ภาพที่ปรากฏมีวัตถุแปลกปลอมอยู่ในผนังสัมภาระซึ่งเป็นกระเป๋าชนิดล้อลากสีดำ เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่สายการบินแจ้งผู้โดยสารมารับสัมภาระ ณ ที่ทำการศุลกากร จนกระทั่งเวลา ๑๕.๐๐ น.
Mr. Lelekov Sergei สัญชาติรัสเซีย ถือหนังสือเดินทางหมายเลข ๗๕๑๑๔๖๗๑๔ มาแสดงตนเพื่อรับสัมภาระดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่สายการบิน และเจ้าหน้าที่สายการบินได้นำ Mr. Lelekov Sergei มาแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร และได้แสดงหนังสือเดินทางเพื่อยืนยันว่า เป็นเจ้าของสัมภาระทั้ง ๒ ใบ ที่ได้แจ้งหายไว้เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ในขณะที่เดินทางมาจากสิงค์โปร์ด้วยเที่ยวบิน MI ๗๗๒/๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เมื่อเจ้าหน้าที่สายการบินตรวจสอบบัตรติดกระเป๋า หลักฐานการแจ้งหาย และหนังสือเดินทางพบว่า เป็นบุคคลเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงได้ให้ Mr. Lelekov Sergei เปิดสัมภาระที่เป็นกระเป๋าชนิดล้อลาก
สีดำจำนวน ๑ ใบ และสีแดงจำนวน ๑ ใบ เพื่อทำการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่า ภายในกระเป๋าสีดำมีเสื้อเชิ้ตจำนวน ๓ ตัว แต่จากการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่า ผนังของกระเป๋ามีความหนาผิดปกติ และมีสิ่งของลักษณะเป็นแผ่นบรรจุอยู่ภายใน เมื่อดึงผนังกระเป๋าออกพบห่อพลาสติกใสพันด้วยเทปสีน้ำตาลมีกระดาษคาร์บอนติดอยู่ด้านข้างภายในบรรจุผงสีขาว จำนวน ๕ หีบห่อ เมื่อทำการทดสอบเบื้องต้นด้วยน้ำยาทดสอบสารเสพติดให้ผลเป็นสีฟ้า แสดงว่า วัตถุต้องสงสัยเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๒ โคคาอีนหรือโคเคน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ ๖,๕๐๐ กรัม มูลค่าประมาณ ๒๖ ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท ๒ โคคาอีนหรือโคเคนไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายและนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช๒๔๖๙ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สถิติในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ กรมศุลกากรสามารถจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าโคเคนจำนวนทั้งสิ้น ๑๘ คดี น้ำหนัก ๓๖ กิโลกรัม มูลค่า ๑๔๔ ล้านบาท และในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ สามารถจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าโคเคน จำนวน ๓ คดี น้ำหนัก ๑๔ กิโลกรัม มูลค่า ๕๖ ล้านบาท
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นำเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ที่มา: http://www.thaigov.go.th