นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดอาคารด่านพรมแดนสะเดาขาออก พร้อมพบปะประชาชน

ข่าวทั่วไป Monday December 28, 2015 10:13 —สำนักโฆษก

วันนี้ (28 ธ.ค.58) ที่ด่านศุลกากรสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดอาคารด่านพรมแดนสะเดาขาออกและเยี่ยมชมอาคาร โดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร พร้อมข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรให้การต้อนรับ

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการปรับปรุงด่านพรมแดนสะเดา โดยสรุปว่า ด่านศุลกากรสะเดาเป็นด่านศุลกากรทางบกซึ่งมีความสำคัญที่สุดด่านหนึ่งของประเทศไทย ก่อสร้างเมื่อปี 2534 บนเนื้อที่ 10 ไร่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับด่านศุลกากรบูกิ๊ต กาย ฮิตัม รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย และเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างถนนเพชรเกษมทางหลวงแผ่นดินสายหลักของภาคใต้ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ของมาเลเซียที่เชื่อมโยงสู่กัวลาลัมเปอร์ บนพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตามแนว Economic Corridor สงขลา-ปีนัง-เมดาน โดยในแต่ละปีด่านสะเดามีมูลค่าการค้าชายแดนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ในปี 2558 มูลค่าการค้าของด่านศุลกากรสะเดามีจำนวนถึง 314,063 ล้านบาทจากมูลค่ารวมการค้าชายแดนทั้งประเทศเกือบ 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 30 ปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางผ่านเข้า-ออกพรมแดนสะเดา มีจำนวนกว่า 5.5 ล้านคน และจำนวนยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออก 8.4 แสนคัน และมีการคาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ปริมาณและมูลค่าทางการค้าจะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันปริมาณการค้า ยานพาหนะ และผู้โดยสารมีจำนวนเพิ่มขึ้น ประกอบกับอาคารหลังเดิมมีพื้นที่คับแคบ จึงส่งผลให้เกิดปัญหาจราจรและความแออัด ใช้เวลาผ่านด่านเป็นเวลานาน เสียเวลา มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น กรมศุลกากรร่วมกับจังหวัดสงขลา จึงได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการจัดหาพื้นที่แปลงที่อยู่ติดกัน ซึ่งเป็นการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจากกรมป่าไม้ จำนวนเนื้อที่ 20 ไร่เศษ เพื่อนำมาก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนแห่งใหม่ ตามมาตรฐานสากลที่กำหนดโดยองค์การศุลกากรโลก ที่ให้การบริหารจัดการพรมแดนนั้น ต้องแยกการตรวจคนกับตรวจสินค้าออกจากกัน

อาคารด่านพรมแดนสะเดาขาออก ประกอบด้วย อาคารผู้โดยสาร 1 หลัง อาคารตรวจยานพาหนะ 1 หลัง ในลักษณะคล้ายแก้มลิง จากที่เป็นด่านกั้นกลางถนนก็จะมีพื้นที่ข้าง ๆ ใช้สำหรับเป็นอาคารผู้โดยสาร แยกจากการตรวจสินค้า ด้วยเงินงบประมาณทั้งสิ้น 125 ล้านบาทเศษ และพร้อมจะเปิดให้บริการแก่ผู้ประกอบการ ผู้โดยสาร และประชาชนที่ผ่านเข้า-ออกระหว่างประเทศได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนสะเดาขาออกแห่งใหม่นี้ จะทำให้ด่านพรมแดนสะเดา มีการบริการตรวจผู้โดยสารแยกออกจากการตรวจสินค้าด้วยความรวดเร็ว ลดปัญหาจราจร รวมทั้งมีรูปแบบเช่นเดียวกับการให้บริการทางสนามบิน เจ้าหน้าที่สามารถให้บริการด้านต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ลดความยุ่งยากทางพิธีการและเอกสาร

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิดอาคารด่านพรมแดนสะเดาขาออก แล้วพบปะประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่เดินผ่านเข้าออกผ่านด่าน และได้ปล่อยขบวนรถผ่านด่านเที่ยวแรก ซึ่งประชาชนที่มาคอยต้อนรับจำนวนมากส่วนใหญ่ต่างตะโกนขอให้นายกฯ สู้ ๆ พร้อมมอบดอกกุหลาบแดงให้กำลังใจ จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พื้นที่ภาคใต้มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ขอขอบคุณประเทศเพื่อนบ้านที่ไว้วางใจให้เราดูแลนักท่องเที่ยว โดยเราจะทำอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ประชาชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาดูแลนักท่องเที่ยว เป็นเจ้าของบ้านที่ดี ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าจะให้เพื่อนบ้านมาเที่ยวในไทยอย่างเดียว เราจะต้องไปเที่ยวประเทศอื่นบ้าง วันนี้มีการเปิดอาเซียน มีการท่องเที่ยวเชิงแพ็กเกจหลายประเทศ ซึ่งมีหลายกิจกรรม ทั้งสุขภาพ วัฒนธรรม ธรรมชาติ โดยการท่องเที่ยวต้องทำให้มีความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เราจะต้องเจริญเติบโตแข็งแกร่งไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีการขยายเส้นทางด่านชายแดนก็คือนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถเปิดได้ ตนไม่โทษใคร แต่โทษที่ไม่ใช้สติปัญญาในการเดินหน้าประเทศ แต่ละคนใช้ความขัดแย้ง อย่างเรื่องยางพารามีการทะเลาะกันเรื่องราคา จะให้รัฐบาลอุดหนุน ซึ่งก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้ ในเรื่องของท่องเที่ยวเมื่อก่อนมีการบอกว่าหากเข้าในเขตไทยจะรู้ได้เลย แต่วันนี้จะต้องสะอาดเอี่ยมเรียบร้อย คนไทยต้องยิ้มแย้มแจ่มใส อยากให้ทุกคนช่วยกัน อย่าให้เสียชื่อประเทศ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ หรือใครก็ตาม การได้มาของรัฐบาลก็ต้องมีธรรมาภิบาล ส่วนการเลือกตั้งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตนไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายใดๆ ทั้งสิ้น ขออย่าห่วงเรื่องประชาธิปไตย เพราะบางครั้งการได้มาของประชาธิปไตย จะทำให้การพัฒนาหยุดอยู่ที่เดิม วันนี้มีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพเยอะแยะไปหมด แล้วประเทศไทยจะอยู่อย่างไร เราจึงต้องร่วมมือกัน เราในฐานะประชารัฐ หมายถึงการร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อช่วยกันขับเคลื่อน โดยวางแผนงานเพื่อส่งต่อยังรัฐบาลหน้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า สำหรับเทศกาลปีใหม่ ได้อวยพรให้ประชาชนไปแล้ว ไม่มีใครไม่อยากได้คำอวยพร แต่ตนกับคณะรัฐมนตรีรวมทั้งชาวกรุงเทพฯ ได้ฝากตนมาอวยพรประชาชนภาคใต้ทั้งหมดว่า ฝากหัวใจมาด้วย ฝากความคิดถึง ฝากความห่วงใยมาให้ และอยากให้ทุกคนมาร่วมมือกัน ทำให้ประเทศก้าวสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างสากล ถูกต้องและรวดเร็ว ให้เป็นการแข่งขันทางการเมืองด้วยผลงาน การทำงาน แผนงานโครงการ เพื่อพี่น้องประชาชนทุกคน นี่คือสิ่งที่คนกรุงเทพฯ ต่างคาดหวัง และตนอยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย มีสันติสุขในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างถาวรภายในปี 2559 ให้คนทั้งสองศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความสุขสมหวัง มีเงินมีทองใช้

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงโครงการบัตรทอง 30 บาทว่า ใครพูดว่าจะเลิกโครงการ ใคร พูดมาสิว่าใครพูด จะได้ไปด่าถูก ใครเขาจะเลิก อะไรที่เกี่ยวข้องกับคน ถามว่าเลิกได้หรือไม่ มันจะมีปัญหาอะไรก็ต้องสู้ต่อ ตนเพียงต้องการวิธีการว่า ทำอย่างไรให้ดีขึ้น 30 บาทรักษาทุกโรคจากเดิมได้รายหัวคนละพันกว่าบาท จากนั้นขึ้นมา 3,000 กว่าบาท แล้วคนไปเข้าโรงพยาบาลทีหนึ่ง ใครเดือดร้อน โรงพยาบาลขาดทุน ต้องปิดโรงพยาบาล แต่ตนให้เลิกโครงการไม่ได้ จึงต้องให้ไปหาวิธีการ อย่างน้อยทุกคนต้องได้สิทธิ์เท่าเดิม แต่หาวิธีการให้ดีขึ้น

“ผมจะไปเลิกได้อย่างไร อย่ามาหาเรื่องให้ผมทะเลาะกับท่าน อะไรที่อยากให้ผมเลิก อยากได้อะไรอีก จำนำเอาอีกไหม อันนี้ให้ไม่ได้ อะไรที่ให้ได้ก็จะให้ ต้องมีกติกา ถ้าท่านคิดจะมีรัฐสวัสดิการดี ๆ ประชาชนรักมาก ๆ ท่านต้องหาเงินให้กับประเทศได้เก่งกว่านี้ อย่าทำโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ประเทศที่เขารวยกว่านี้ยังทำไม่ได้เลย คิดสิว่าเพราะอะไร เขามองปัญหาเรื่องงบประมาณ แต่ของเราเมื่อทำไปแล้วก็ทำไป แต่ผมจะหาเงินเพื่อให้ทำได้และดีกว่าเดิม และจะเอาจากไหน ใครช่วยได้ก็ช่วยมา ใครรวยก็ช่วยมา จนก็ไม่ต้องช่วย งบประมาณเราก็ให้ได้เท่าเดิม ประกาศครั้งสุดท้าย ผมไม่พูดอีกแล้ว ใครก็อย่ามาพูดอีก ขอพูดให้กระจ่าง ผมจะไม่ยกเลิกนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นของใครไม่รู้ และอย่าพูดอีก ใครพูดจะโดน มีเรื่องแน่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ