ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคปอดบวมประมาณปีละ 2 แสนคน ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ถึง 30 พฤศจิกายน 2558 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคปอดบวม 192,189 คน เสียชีวิต 406 ราย โดย ในปี 2557 ตลอดปีพบผู้ป่วย 200,710 คน เสียชีวิต 893 ราย ในช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาวในบางพื้นที่ เช่นภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศหนาวเย็น มีลมแรง ประชาชนป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจมากขึ้นและโรคปอดบวมจะเป็นภาวะแทรกซ้อนตามมา คาดว่าตลอดฤดูหนาวจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ยอดผู้ป่วยทั้งประเทศจะสูงขึ้นกว่า 2 แสนคน
โดยผู้ป่วยและเสียชีวิตพบได้ทุกวัย มากสุดในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ พบป่วยรวมกัน 122,279 คน หรือเกือบ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมดเสียชีวิต 301 ราย โดยกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิด-3 ปี พบป่วย 61,786 คน เสียชีวิต 11 ราย กลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไป พบป่วย 60,493 คน เสียชีวิต 301 ราย กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ เร่งรณรงค์ให้ประชาชนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หากป่วยด้วยโรคไข้หวัดให้รีบรักษาและระวังโรคแทรกซ้อนปอดบวมซึ่งเป็นโรคติดเชื้อระบบหายใจชนิดรุนแรง อัตราการเสียชีวิตสูง เกิดได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส อาการของโรคคือ มีไข้ ไอจาม มีน้ำมูก เจ็บคอ จากนั้นจะเริ่มหายใจเร็วและลำบาก เหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีการหนาวสั่นซึม อาเจียน เชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วยและติดต่อกันทางไอจาม
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยโรคปอดบวม ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เด็กน้ำหนักตัวน้อย เด็กขาดสารอาหาร ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โรคหัวใจ โรคถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง และผู้สูงอายุ ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำอาการรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น หากป่วยเป็นไข้หวัดขอให้พบแพทย์ทันที ส่วนผู้ป่วยกลุ่มทั่วไปขอให้นอนพักผ่อนให้มาก รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย สวมหน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนอื่น หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วัน มีไข้สูง หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาทันที จะช่วยลดการเสียชีวิตได้
ขอให้ประชาชนทั่วไปและผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ยึดหลักกินอาหารปรุงสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และหมั่นล้างมือ ฟอกสบู่บ่อยๆ ก่อนรับประทานอาหารและภายหลังหยิบจับสิ่งของ หรือจับราวบันได ปุ่มลิฟต์ ลูกบิดประตู ภายหลังจากการใช้ห้องน้ำห้องส้วม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ครั้งละ 30 นาที ช่วงอากาศหนาวเย็นขอให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลาน-ผู้สูงอายุ ให้สวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอ ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422
ที่มา: http://www.thaigov.go.th